สนาม : คัมป์ นู (บาร์เซโลน่า)
“เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ของเทรนเนอร์ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ พาทีมผ่านเชลซีมาได้ในรอบที่แล้ว
ส่วนความพร้อมเกมนี้จะได้ ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมชาติอาร์เจนตินาหายเจ็บโคนขาหนีบ พร้อมกลับมาเป็นตัวจริง หลังเป็นสำรองในเกมเสมอเซบีย่า 2-2 เมื่อสุดสัปดาห์
ในรายของ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ที่กระดูกนิ้วเท้าแตก และ ลูก้าส์ ดีญ รวมทั้ง เคราร์ด ปีเก้ ปราการหลังตัวเก่งก็มีอาการเจ็บเข่า ยังต้องรอเช็กฟิต และจะไม่สามารถใช้งาน ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ นักเตะใหม่ที่ติดคัพไท
“หมาป่า” โรม่า ของเทรนเนอร์ ยูเซบิโอ ดิ ฟรานเชสโก้ พาทีมผ่านด่าน ชัคเตอร์ โดเนตส์ค มาได้ในรอบที่แล้ว
ส่วนความพร้อมเกมนี้ อาจต้องขาด รัดย่า นาอิงโกลัน ที่ได้รับบาดเจ็บต้นขาจากเกมลีกเมื่อสุดสัปดาห์ ที่เสมอกับโบโลญญ่า 1-1 เช่นเดียวกับ ริค คาร์สดอร์ป ที่ยังไม่หายเดี้ยง
ขณะที่ เอดิน เชโก้ กับ เจงกิส อุนไดร์ ที่นั่งสำรองในเกมลีกล่าสุด จะได้กลับมาเป็นตัวจริงในเกมนี้ทั้งคู่ ส่วนตัวหลักรายอื่นๆ ต่างพร้อมลงเล่น
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
บาร์เซโลน่า : มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น – เซร์จี้ โรเบร์โต้, เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อุมติตี้, จอร์ดี้ อัลบา
– เปาลินโญ่, อิวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรส อีเนียสต้า ลีโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ
โรม่า : อลิสซอน – อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, เฟเดรีโก้ ฟาซีโอ, คอสตาส มาโนลาส, อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ – ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่, เควิน สตรอทมัน – เกนกิซ อุนไดร์ , เอดิน เชโก้, ดีเอโก้ เปร็อตติ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– บาร์ซ่าเข้ามาเล่นรอบก่อนรองชนะเลิศรายการนี้เป็นสถิติ 11 ปีติดต่อกันแล้ว ส่วน โรม่า เป็นครั้งแรกที่มาถึงรอบนี้ในรอบทศวรรษ
– บาร์ซ่าเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ 6ปี นับตั้งแต่ปี 2008-2013 โดยสามจากสี่ปีหลังตกรอบนี้
– โรม่าแพ้รอบก่อนรองชนะเลิศทั้งสองครั้งที่มาถึง
– โรม่า แพ้ต่อบาร์ซ่าแค่ครั้งเดียวจาก 4 หน ที่เจอกันแม้ว่าจะเคยพ่ายล่าสุดถึง 1-6 ที่คัมป์นู สองซีซั่นก่อนหรือปี 2015-16 โดยเป็นการเสมอ 1-1 ที่ตูริน หลุยส์ วัวเรซ ยิงได้ แต่ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ ตีเสมอ ส่วนเกมที่แพ้ 1-6 ซัวเรซ กับ เมสซี่ คนละสองลูก บวกับ เคราร์ด ปิเก้ และ อาเดรียโน่ ทำได้
– สถิติของบาร์ซ่าในยูโรเปี้ยน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศคือ ชนะ 14, แพ้ 5 โดยสามครั้งที่แพ้นั้นเกิดขึ้นใน 4 ปีหลัง โดยปีก่อนตกรอบเพราะน้ำมือของยูเว่ แพ้เยือน 0-3 และ เหย้าเจ๊า 0-0
– บาร์ซ่าสถิติสองนัดเจอกับทีมจากอิตาลี คือชนะ 8, แพ้ 4
– บาร์ซ่ามีสถิติในบ้านเจอกับทีมจาก เซเรีย อา คือชนะ 15, เสมอ 6, แพ้ 2 โดยพวกเขาไม่แพ้ 12 เกมหลังสุดในบ้านที่เจอกับทีมเลี่ยนชนะไป 9 หนนับแต่แพ้ 1-2 ต่อยูเว่ในรอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง เมื่อปี 2002/03
– บาร์ซ่าตอนนี้ชนะ 8 จาก 10 เกมเหย้าหลัง (เสมอ 2) นับแต่ แพ้ 0-3 ต่อเสือใต้ ในปี 2012/13 ซึ่งเป็นรอบรองชนะเลิศนัดสอง
– โรม่า สถิติในยูโรเปี้ยน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศคือชนะ 1, แพ้ 2
– โรม่า แพ้รวดในสามหนก่อนหน้านี้ที่เตะรอบก่อนรองชนะเลิศ
– สถิติโรม่า เตะกับทีมจาก สเปน สองนัดคือชนะ 3, แพ้ 4 หนล่าสุดคือชนะ บียาร์เรอัล ศึกยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมซีซั่นก่อน
– โรม่า มีสถิติเจอกับทีมจากสเปนตอนนี้คือ ชนะ 4, เสมอ 3, แพ้ 8
– บาร์ซ่าตอนนี้ไม่เสียประตู 7 จาก 9 เกมหลังแชมเปี้ยนสลีก
– บาร์ซ่าไม่แพ้ใครใน 9 เกมหลังสุดแชมเปี้ยนสลีก ตอนนี้
ที่มา : Siamsport
เชย์ กิฟเว่น อดีตผู้รักษาประตู แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชื่อว่า ลอริส คาริอุส นายด่าน ลิเวอร์พูล ที่กำลังโชว์ฟอร์มดีวันดีคืนจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยพาทีมหงส์แดงก้าวไปสู่อีกระดับ
“จังหวะเซฟที่เขาโชว์ให้เห็นหลายครั้งตลอดหลายสัปดาห์หลังมานี้ ทำให้ผมเชื่อว่าเขาได้ก้าวมาอีกขั้นแล้ว สำหรับ 2 เกมที่จะเจอกับ แมนฯ ซิตี้ จะถือเป็นบททดสอบของจริงสำหรับเขา แต่มันก็ไม่มีเหตุผลเลยว่าทำไมเขาจะผ่านมันไปไม่ได้ เพราะเขาพิสูจนน์ตัวเองแล้วว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ดีคนหนึ่ง” อดีตมือกาวชาวไอริชกล่าว
“ผู้คนพากันพูดว่าพวกเขายังต้องการผู้รักษาประตูคนใหม่ในช่วงซัมเมอร์ แต่จากผลงานในระยะหลังของเขา มันก็ทำให้ผมเชื่อว่าแค่มีเขาก็เพียงพอแล้วสำหรับการพาทีมก้าวไปสู่อีกระดับ”
“มันเป็นเรื่องยากสำหรับผู้รักษาประตูในสร้างความมั่นใจ เว้นแต่คุณได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้จัดการทีม พวกเราต่างก็มีข้อผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้นแหละ” กิฟเว่น ทิ้งท้าย
สำหรับ คาริอุส จะมีโปรแกรมเฝ้าเสาให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมเปิดบ้านรับมือ แมนฯ ซิตี้ ศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ เลกแรก คืนวันพุธที่ 4 เมษายนนี้ เริ่มแข่ง 01.45 น. ตามเวลาในประเทศไทย
กวาร์ดิโอล่า ลงทุน 35 ล้านปอนด์ คว้าตัว เอแดร์สัน มาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์และได้รับการตอบแทนในทันทีด้วยฟอร์มการเล่นสุดยอดในปีแรกบนเวที พรีเมียร์ ลีก
เอแดร์สัน ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูฝีมือดีที่สุดของโลกไปแล้วและด้วยวัย 24 ปี ทำให้ กิฟเว่น มองว่าเขาจะเล่นในระดับท็อปไปได้อีกทศวรรษ
“คุณคงหาคำมาชมเชยเขาได้ไม่มากพอ” กิฟเว่นกล่าว.
“เขาย้ายมาลีกใหม่และต้องเจอกับภาษาใหม่ด้วยแต่เขาได้นำความเชื่อมั่นมาให้แบ็คโฟร์และทีม”
“เขาใจเย็นกับเกมการเล่นและการตัดสินใจของเขา เขาแน่วแน่กับสิ่งที่เขาทำและเขาก็เล่นบอลกับเท้าได้สุดยอดอีกด้วย”
“มันมีบางเซฟสุดยอดของเขาในปีนี้ที่ไม่ถูกพูดถึงกัน เซฟซึ่งบางทีคุณอาจไม่ได้เห็นในทีวีเมื่อแมนฯซิตี้ชนะ 3 หรือ 4-0 แต่ในเกมสำคัญ เขาก็เซฟสำคัญ”
“เขาเพิ่งอายุ 24 ปี บางทีเขาอาจเล่นในระดับสูงสุดได้อีก 10 ปี ทุกคนรู้ว่าจะได้อะไรจากเขา”
เมสซี่ ทำผลงานได้อย่างสุดยอดอีกครั้งในฤดูกาลนี้และการทำไป 36 ประตูของเขาทำให้ทีมยังอยู่ในเส้นลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์ทั้ง ลา ลีก้า,โคปา เดล เรย์และแชมเปี้ยนส์ ลีก
อัลบา คาดหวังผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องของ เมสซี่ ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลและ บาร์เซโลน่า ก็ตระหนักดีกว่าพวกเขามีโอกาสเสมอยามที่สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่าลงสนาม
ทั้งนี้ อัลบา ได้กล่าวยกย่องดาวเตะวัย 30 ปีระหว่างการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวก่อนเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ โรม่า
“เขาให้ความเคารพคู่แข่งและเขาทำให้เราเก่งขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเมื่อมีเขา” อัลบากล่าว
“เมื่อเมสซี่ลงเล่น มันก็มีโอกาสเสมอที่จะคว้าชัยชนะ”
สนาม : ราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน
เซบีย่า ผ่าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 16 ทีม เข้ามาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศได้ในรอบ 60 ปี เกมนี้ได้ฟัดในรังตัวเองก่อนรับมือ บาเยิร์น มิวนิค ทีมแกร่งจากเยอรมัน
วินเชนโซ่ มอนเตลล่า เทรนเนอร์เซบีย่า เกมนี้ต้องใช้ ดาบิด โซเรีย นายด่านมือสองลงแทน เซร์คิโอ ริโก้ ที่ไม่ฟิต แดนกลางขาด เอเวร์ บาเนก้า ที่ติดโทษแบน ส่วนหน้าเป้าวันนี้เป็น วิสซาม เบน เยดแดร์ ฮีโร่จากเกมอัด “ปีศาจแดง”
ส่วนทางฝั่ง “เสือใต้” ของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เกมนี้ส่งแนวรุกตัวฉกาจอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวยิงตัวเก่งที่ฟอร์มฮอตมาก ยิงไป 14 ลูก จาก 12 เกมล่าสุดที่ลงสนามตั้งแต่ปี 2018 สตาร์ทพร้อมกับ ฟร้องค์ ริเบรี่, โธมัส มุลเลอร์ ส่วน ร็อบเบน มีชื่อบนมานั่งสำรอง
ช่วง 10 นาที แรกกลายเป็นฝั่ง “เสือใต้” ที่ครองเกมบดอยู่มากกว่าและมีโอกาสยิงจาก ฟร้องค์ ริเบรี่ และโธมัส มุลเลอร์ แต่บอลก็ไม่ตรงกรอบ
นาที 20 เซบีย่า พลาดโอกาสชิงขึ้นนำก่อน จากจังหวะที่ เอสกูเดโร่ ครอสจากซ้ายมาหน้าประตู มัตส์ ฮุมเมลล์ สกัดบอลไม่ดีไปตั้งให้ ปาโบล ซาราเบีย ที่ได้ยิงโล่งๆไม่ถึง 10 หลา แต่บอลหลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย
โอกาสยิงเข้ากรอบหนแรกของ บาเยิร์น ต้องรอถึง นาที 26 ติอาโก้ แตะบอลหลบแข้งเจ้าถิ่นอย่างเหนือชั้นก่อนลากเข้าไปยิงนอกกรอบแต่บอลไม่พ้นตัวเข้ามือ โซเรีย รับไว้ได้
แต่กลายเป็นเจ้าถิ่น ที่ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 นาที 32 เอสกูเดโร่ ลากเข้ากลางก่อนเปิดโค้งไปเสาสอง บอลตกพื้นก่อนที่ ซาราเบีย จะชิงตัดหน้า เบร์นาต และหวดด้วยซ้ายไปทางเสาไกลเข้าไปอย่างเด็ดขาด
“เสือใต้” เสียประตู แล้วยังต้องมาเสีย อาร์ตูโร่ วิดัล ที่เจ็บเล่นไม่ไหวก่อนที่ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส จะส่ง ฮาเมส โรดริเกซ ลงไปเล่นแทน ในนาที 35
และให้หลังแค่สองนาที บาเยิร์น ไล่ตีเสมอ 1-1 สำเร็จ จากความผิดพลาดของแนวรับเจ้าถิ่น ฟร้องค์ ริเบรี่ เปิดด้วยซ้ายไปแฉลบปลายเท้า นาบาส บอลเปลี่ยนทางพุ่งเสาแรก แม้ ดาบิด โซเรีย จะพุ่งปัดแต่บอลยังเบียดเสาก่อนข้ามเส้นเข้าไป
จบครึ่งแรก เซบีย่า ยังเสมอกับ บาเยิร์น มิวนิค 1-1
กลับมาสู้ต่อในครึ่งหลัง “เสือใต้” ปรับทัพส่ง ราฟินญ่า ลงมาเล่นแทน ฆวน เบร์นาต และแค่ นาที 48 ทีมเยือนเกือบแซงขึ้นนำ ริเบรี่ ได้ยิงกลางประตูแต่บอลไปติดผู้เล่นเจ้าถิ่น จากนั้นแค่นาทีเดียวเป็นทีของ เซบีย่า ที่เกือบนำอีกครั้ง คอร์เรอา ปาดมาให้ ฟรังโก้ บาสเกซ ที่ยืนโล่งๆและจะยิงอยู่แล้วแต่ ฆาบี มาติเนซ พุ่งมาขวางเคลียร์บอลออกไปหวุดหวิด
นาที 66 แฟนเจ้าถิ่นเงียบกันกริบ เมื่อ “เสือใต้” มาได้ประตูแซงขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะที่ ริเบรี่ หยอดไปเสาสองให้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า โขกบอลไปโดนเท้า เอสกูเดโร่ เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองไป
ท้ายเกม เจ้าถิ่นโหมบุกอย่างหนัก นาที 80 เอ็นซอนซี่ ตะบันไกลบอลหลุดเสาไปแบบได้เสียว จากนั้นแค่นาทีเดียว ซานโดร รามิเรซ ตัวสำรองได้ยิงเน้นๆ แต่บอลยังไม่โดน อูลไรช์ ปัดออกหลัง
ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค พลิกแซงกลับมาคว้าชัยเหนือเจ้าถิ่น เซบีย่า ได้แบบสนุก 2-1 กุมความได้เปรียบก่อนกลับไปเล่นที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า ในวันที่ 11 เมษายน นี้
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เซบีย่า (4-2-3-1) : ดาบิด โซเรีย – เฆซุส นาบาส, ซิมง เคียร์, กเลมงต์ เล็งก์เล่ต์, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่ – สตีเว่น เอ็นซอนซี่, กีโด้ ปิซาร์โร่ – ปาโบล ซาราเบีย, ฟรังโก้ วาซเกซ, ฮัวกิน กอร์เรอา (ซานโดร รามิเรซ น.78) – วิสซาม เบน เยดแดร์ (หลุยส์ มูเรียล น.80)
สำรองไม่ได้ใช้ : เซร์คิโอ ริโก้, กิลเยร์โม่ อรานญ่า, โนลิโต้, โยฮานเนส ไกส์, นิโคลาส ปาเรฆ่า
เทรนเนอร์ : วินเชนโซ่ มอนเตลล่า
บาเยิร์น มิวนิค (4-2-3-1) : สเวน อูลไรช์ – โจชัว คิมมิช, เจอโรม บัวเต็ง, มัตส์ ฮุมเมลส์, ฆวน เบร์นาต (ราฟินญ่า น.46) – ฆาบี มาร์ติเนซ, อาร์ตูโร่ วิดัล (ฮาเมส โรดริเกซ น.36) – โธมัส มุลเลอร์, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, ฟร้องค์ ริเบรี่ (อาร์เยน ร็อบเบน น.79) – โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
สำรองไม่ได้ใช้ : ทอม สตาร์เค่, เซบาสเตียน รูดี้, นิคลาส ซูเล่, ซานโดร ว๊ากเนอร์
เทรนเนอร์ : จุ๊ปป์ ไฮย์เกส
ผู้ตัดสิน : ดานิเอเล่ ออร์ซาโต้ (อิตาลี)
ที่มา : Siamsport
สนาม : อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม
ยูเวนตุส ยอดทีมของอิตาลี โค่น ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ทีมแกร่งของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาได้อย่างหวุดหวิด ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-3 ผ่านเข้ามาชนกับ เรอัล มาดริด แชมป์เก่าสองสมัยหลังสุด อันเป็นการรีแมตช์กันอีกครั้ง หลัง
จากรอบชิงชนะเลิศ ปีก่อนนั้น เรอัล มาดริด ต้อนไปขาดลอย 4-1
เกมนี้ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี้ เทรนเนอร์ยูเวนตุส ส่ง เปาโล ดีบาล่า และ กอนซาโล่ อิกวาอิน เป็นตัวความหวังในแนวรุก ส่วนแนวรับนำมาโดย อันเดรีย บาร์ซายี่ และ จอร์โจ้ คิเอลลินี่
ด้าน เรอัล มาดริด แชมป์เก่ารายการนี้สองสมัยหลังสุด โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการปราบ ปารีส แซงต์- แชร์กแมง ยอดทีมของฝรั่งเศส ด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-2 ทะลุเข้ามาเจอกับ ยูเวนตุส คู่ปรับเก่าในรอบชิงปีที่แล้ว
เกมนี้ ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์เรอัล มาดริด ส่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นำทัพในแนวรุก ร่วมกับ คาริม เบนเซม่า และ อีสโก้ โดยมี โทนี่ โครส, ลูก้า โมดริช และ คาเซมิโร่ คุมเกมแดนกลางเช่นเคย
เริ่มเกมมาเพียง 3 นาที เรอัล มาดริด ขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ อีสโก้ หลุดมาทางกราบซ้าย จ่ายให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ วิ่งมายิงด้วยข้างเท้าด้านนอกบอลเสียบเสาไกลเข้าไป พร้อมเป็นประตูที่ 13 ของกองหน้าทีมชาติโปรตุเกสในรายการนี้
นาที 23 ยูเวนตุส เกือบได้ประตูตีเสมอ จากลูกฟรีคิก ก่อนจะเป็น กอนซาโล่ อิกวาอิน ได้ยิงในกรอบเขตโทษ แต่ไปติดเซฟ เคย์ลอร์ นาวาส
นาที 36 ทีมเยือนเกือบได้ประตูที่สอง เมื่อ โทนี่ โครส ได้ส่องไกลหน้ากรอบเขตโทษแต่บอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
จบครึ่งแรกเป็นเจ้าถิ่นที่ครองเกมบุกได้มากกว่าแต่ทำอะไรไม่ได้ โดน เรอัล มาดริด บุกมานำ 1-0
ครึ่งหลัง นาที 50 ราชันชุดขาว ได้ทักทายก่อน เมื่อ โรนัลโด้ ได้ยิงบริเวณในกรอบเขตโทษด้านขวา แต่บอลถากเสาสองออกไป
นาที 64 ทีมเยือนนำห่าง 2-0 จากจังหวะที่ ดาเนียล การ์บาฆาล เปิดจากกราบขวา ให้ โรนัลโด้ จักรยานอากาศเข้าไปอย่างสวยงาม
หลังจากนั้น นาที 66 สถานการณ์ของเจ้าถิ่นแย่ลงไปอีกเมื่อ ดีบาล่า มาโดนใบเหลือที่สองเป็นไปแดงไล่ออกจากสนาม จากจังหวะทำฟาลว์ใส่ การ์บาฆาล
นาที 72 ทีมเยือนนำห่าง 3-0 จากจังหวะที่ มาร์เซโล่ ทำชิ่งกับ โรนัลโด้ ก่อนที่แบ็กชาวบราซิลจะหลุดเข้าไปยิงติด บุฟฟ่อน จังหวะแรก และตามซ้ำเข้าไปไม่เหลือ
ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม เรอัล มาดริด บุกมาถล่ม ยูเวนตุส 3-0 จ่อเข้ารอบรองชนะเลิศ โดยเกมนัดที่สองจะกลับไปเล่นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว คืนวันพุธที่ 11 เมษายน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ยูเวนตุส (4-2-3-1) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน – มัตเตีย เด ชีโย่, อันเดรีย บาร์ซายี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, ควัดโว่ อซาโมอาห์ (มาริโอ มานด์ซูคิช น.69) – ซามี เคดิร่า (ฮวน กวาดราโด้ น.75), โรดริโก้ เบนทานคูร์ – อเล็กซ์ ซานโดร, เปาโล ดีบาล่า, ดั๊กลาส คอสต้า (แบลส มาตุยดี้
น.69) – กอนซาโล่ อิกวาอิน
เรอัล มาดริด (4-4-2) : เคย์ลอร์ นาวาส – ดาเนียล การ์บาฆาล, ราฟาแอล วาราน, เซร์คิโอ รามอส, มาร์เซโล่ วิเอยร่า – โทนี่ โครส, คาเซมีโร่, ลูก้า โมดริช (มัตเตโอ โควาซิช น.82) – อีสโก้ (มาร์โก อาเซนซิโอ น.75) – คาริม เบนเซม่า (ลูกัส บาสเกซ น.59), คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ผู้ตัดสิน : คูเนย์ต ชาคีร์ (ตุรกี)
ที่มา : Siamsport
กระทั่ง เซร์คิโอ รามอส ได้รับใบเหลืองในนาทีที่ 55 ของการแข่งขันเมื่อคืนนี้หลังไปทำฟาวล์ เปาโล ดีบาล่า
ในใบเหลืองดังกล่าว จะทำให้ปราการหลังทีมชาติสเปน ไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมการแข่งขันนัดที่ 2 ที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาบิว ในวันที่ 11 เมษายน
เมื่อไม่มี เซร์คิโอ รามอส นาโช่ เฟร์นานเดซ ก็อาจจะเป็นตัวเลือก ที่จะได้ลงเล่นเป็นตัวจริง เคียงข้างราฟาเอล วาราน ในแนวรับของ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด แต่เขาบาดเจ็บต้นขาต้องพักร่วมเดือน
เฆซุส บาเยโฆ่ จะได้ลงทำหน้าที่แทนเขาได้ลงเล่นเพียง 8 เกมให้ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ฤดูกาลนี้ เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บ และมีตัวเลือกอื่นก่อนหน้าเขา
จากการที่ทีม “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ถล่ม “ม้าลาย” ยูเวนตุส 3-0 ในนัดแรก พวกเขาจึงน่าจะรับมือกับการขาดกัปตันทีมอย่าง เซร์คิโอ รามอส ในเกมนัดที่ 2 ได้
วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิค ชลบุรี เอฟซี อันดับ 11 ในโตโยต้า ไทยลีก ยืนยันผ่าน โกล ประเทศไทย ดัน จักรพันธ์ ปั่นปี ที่เพิ่งจบโปร ไลเซนส์ ขึ้นมาคุมทีมแบบถาวร ไม่ใช่ขัดตาทัพ อย่างที่หลายคนเข้าใจ
ฉลามชลแยกทางกับ โกรัน บาร์ยัคทาเรวิช กุนซือชาวเยอรมัน เป็นที่เรียบร้อย ขณะที่ โค้ชเฮง กล่าวถึงการแต่งตั้ง โค้ชโบ้ ในการขึ้นมาทำหน้าที่ เฮดโค้ชชุดใหญ่ของทีม ครั้งแรกว่า
“เราจะให้ โบ้ (จักรพันธ์ ปั่นปี) คุมทีมไปเลย ล่าสุดเขาพึ่งจบโปร ไลเซนส์ มา ทำคะแนนได้ดีด้วย เขาเป็นคนที่มีความสามารถอยู่แล้ว รู้จักผู้เล่นชลบุรีดี ที่สำคัญ อยู่กับผมมานานด้วย”
“ผมเชื่อว่า โบ้ จะทำผลงานได้ดี เพราะสิ่งสำคัญของฟุตบอล อยู่ที่วิธีการฝึก ซึ่ง โบ้ เป็นคนที่มีวิธีฝึกที่แยบยลมาก สามารถเอาไปใช้ได้จริง ช่วยให้ผู้เล่นพัฒนา อีกอย่างตั้งแต่เกมนัดที่ 4 เขาก็ช่วย โกรัน และ อย่างที่เห็น ทีมมีคะแนนตลอด มาพลาดแค่ในเกมกับ บุรีรัมย์ เท่านั้น” เฮงซัง ปิดท้ายกับ โกล ประเทศไทย
จักรพันธ์ ปั่นปี จะประเดิมคุม ชลบุรี เอฟซี เปิดบ้านพบกับ ชัยนาท ฮอร์นบิล วันที่ 8 เมษายนนี้ ในเกมโตโยต้า ไทยลีก 2018 นัดที่ 9
ที่มา : Goal
“หากผมได้รับมันก็คงอยากขอบคุณเพื่อนร่วมทีมก่อนเป็นอันดับแรก” เดอ บรอยน์ กล่าว “ผมเชื่อว่าตัวเองสมควรได้รับมันหลังจากมีฟอร์มที่สม่ำเสมอแบบนี้”
Got plans on Wednesday? Cancel them.
Salah ? De Bruyne
Klopp ? Guardiola
Liverpool ? Manchester City? Anfield
? Wednesday
? 6.30pm
? BT Sport 2 and 4K UHD pic.twitter.com/GlduwCH9SL— Football on BT Sport (@btsportfootball) April 2, 2018
“ผมแฮปปี้มาก ๆ กับตัวเอง และรู้สึกยินดีกับการที่เล่นได้ถึงขนาดนี้ เอาจริง ๆ นะ ผมไม่เคยคิดว่าฤดูกาลนี้จะทำผลงานได้สุุดยอดแบบนี้มาก่อน”
ที่มา : 90Min
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันที่ 3 เม.ย. ว่า หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยของ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลนา สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลา ลีกา สเปน อาจย้ายกลับมาค้าแข้งกับทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในอนาคตอันใกล้นี้
ซัวเรซ วัย 31 ปี ย้ายจากทีมลิเวอร์พูลไปอยู่กับบาร์เซโลนาเมื่อปี 2014 แต่รายงานข่าวล่าสุดจากทวิตเตอร์ของ The Secret Footballer ที่คาดว่ามีนักเตะในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษเป็นเจ้าของบัญชี อ้างว่า ซัวเรซ น่าจะย้ายทีมในอีกไม่นานนี้
“อดีตเพื่อนร่วมทีมของเขากับผมได้มีการพูดคุยกับเกี่ยวกับ ซัวเรซ เราทั้งสองคนรู้สึกว่าเขาจะไม่อยู่กับทีมบาร์เซโลนาในระยะยาว คำถามคือใครจะมาแทนที่เขา และเขาจะย้ายไปที่ไหน? กลับไปอยู่กับลิเวอร์พูลหรือเปล่า?”