เกมนี้แม้ว่า คอนซาโดเล จะครองบอลน้อยเพียงแค่ 33.8% ขณะที่ทีมเยือนครองบอลถึง 66.2% แต่เป็นเจ้าถิ่นที่มีโอกาสยิงมากกว่าถึง 24 ครั้งเข้ากรอบ 10 ครั้ง ส่วน นาโงยา 8 ครั้งเข้ากรอบ 3 ครั้ง
โดยจอมทัพทีมชาติไทยสร้างโอกาสให้กับทีมได้ 5 ครั้งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเกมนี้ น้อยกว่าแค่ อาคิโตะ ฟุคุโมริ จอมเตะลูกนิ่งของทีมที่สร้างโอกาสไป 6 ครั้งและทำ 1 แอสซิสต์
นอกจากนี้ เมสซี่เจ ยังมีอัตราการจ่ายบอลสำเร็จสูงสุดในทีม 88.5% เมื่อนับจากผู้เล่นที่ลงตั้งแต่นาทีแรก ส่วนอันดับ 2 เป็น ทาคุมะ อาราโนะ มิดฟิลด์ตัวกลางของทีม 84%
ด้านสถิติจากเจลีก ระบุว่า ชนาธิป มีระยะทางการวิ่งรวม 10.667 เป็นอันดับ 4 ของทีม แต่มีการสปรินท์มากสุดในสนาม 29 ครั้ง
ที่มา : Goal
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือเรือใบสีฟ้า จะพาทีมเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่น 2017/2018 ทันทีถ้าเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เอติฮัต สเตเดี้ยม นัดนี้ได้สำเร็จ โดยฟอร์มในลีกล่าสุดพวกเขาบุกชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1 ทว่าใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมนัดแรกเมื่อกลางสัปดาห์โดน ลิเวอร์พูล ถล่มมาเละเทะ 3-0
เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินาที่มีอาการเจ็บเข่าและพลาดการลงเล่นกับ หงส์แดง ล่าสุด เป๊ป นายใหญ่ออกมายืนยันว่าต้องทดสอบความฟิตช่วงโค้งสุดท้ายก่อนส่งรายชื่อ
ในรายของ แบงฌาแม็ง เมนดี้ ปราการหลังที่เจ็บมานานก็ยังไม่พร้อมลงสนามเช่นกัน
ข่าวดีของเรือใบก็คือ จอห์น สโตนส์ กับ ฟาเบียน เดลฟ์ ฟิตแล้วและเป็นตัวสำรองไม่ได้ใช้ที่ แอนฟิลด์ ซึ่งมีโอกาสที่ทั้งคู่จะออกสตาร์ตเป็นตัวจริงเกมนี้ได้เลย
เป๊ปประกาศก่อนหน้านี้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับเกม ลิเวอร์พูล มากกว่านัดนี้ นั่นทำให้เราอาจจะได้เห็นตัวสำรองลงสนามหลายคนทีเดียว
โชเซ่ มูรินโญ่ พาทีมเกาะอยู่ตำแหน่งรองจ่าฝูงโดยเหนือ ลิเวอร์พูล 2 คะแนนและแข่งน้อยกว่า 1 เกม ฟอร์มล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนพวกเขาเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทุบ สวอนซี ไปสบาย 2-0
ข่าวดีของทีมก็คือ ฟิล โจนส์, มาร์กอส โรโฮ และ อันเดร์ เอร์เรร่า ล้วนกลับมาฟิตเต็มร้อย พร้อมที่จะเป็นตัวเลือกให้เฮียมูแล้ว โดยเฉพาะเอร์เรร่าเป็นตัวสำรองและถูกใช้งานเกมก่อนไปแล้ว
ดาเล่ย์ บลินด์ นักเตะสารพัดประโยชน์ทีมชาติฮอลแลนด์ ก็กลับมาซ้อมและมีโอกาสที่จะเป็นตัวเล่อกในสุดสัปดาห์เหมือนกัน
ทว่า เซร์คิโอ โรเมโร่ โกลมือ 2 ของทีมจะต้องพักอีกราว 2-3 สัปดาห์ หลังจากบาดเจ็บมาจากการรับใช้ทีมชาติอาร์เจนตินา
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
แมนฯ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้, จอห์น สโตนส์, ฟาเบียน เดลฟ์ – เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, ดาบิด ซิลบา – ราฮีม สเตอร์ลิง, กาเบรียล เชซุส, แบร์นาร์โด้ ซิลวา
ผู้จัดการทีม : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อันโตนิโอ วาเลนเซีย, คริส สมอลลิ่ง, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แอชลี่ย์ ยัง – ปอล ป็อกบา, เนมานย่า มาติช – ฆวน มาต้า, เจสซี่ ลินการ์ด, มาร์คัส แรชฟอร์ด – โรเมลู ลูกากู
ผู้จัดการทีม : โชเซ่ มูรินโญ่
ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอ๊ตกินสัน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– แมนฯ ซิตี้ เอาชนะได้ถึง 26 จาก 29 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะได้ตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– แมนฯ ยูไนเต็ด จะยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– มีสกอร์รวมต่ำกว่า 2.5 ตลอด 3 นัดเหย้าที่ แมนฯ ซิตี้ พบ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมทุกรายการ
ที่มา : Siamsport
สนาม : กูดิสัน พาร์ค
แซม อัลลาร์ไดซ์ กุนซือเอฟเวอร์ตัน พาทีมแพ้แมนฯ ซิตี้ 1-3 ในเกมล่าสุด เป็นการแพ้นัดที่ 3 ในรอบ 5 เกม
สภาพทีมเกมนี้ ”บิ๊กแซม” จะได้ แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์ พ้นโทษแบน 3 นัดกลับมาเป็นตัวเลือก แต่ต้องลุ้นความพร้อมของ อิดริสซ่า กาน่า เกย์ ที่มีอาการเจ็บต้นขารบกวน
ส่วนพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้ว ทั้ง กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน (เข่า), เอเลียควิม ม็องกาล่า (เข่า) และ เจมส์ แม็คคาร์ธี่ (ขาหัก) ยังชวดเหมือนเดิม
เจอร์เก้น คล็อปป์ เทรนเนอร์ลิเวอร์พูล พาทีมชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1 ในเกมลีกล่าสุด ก่อนถล่ม แมนฯ ซิตี้ 3-0 ในเกมยุโรปล่าสุด เป็นการคว้าชัย 3 นัดติด
สภาพทีมเกมนี้ คล็อปป์ต้องลุ้นความพร้อม โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เจ็บโคนขาหนีบมาจากเกมยุโรป แม้อาการจะไม่หนักหนามาก แต่คาดว่าไม่น่าเสี่ยงส่งลงเกมนี้
ส่วนพวกที่เดี้ยงอยู่ก่อนทั้ง โฌแอล มาติป (ต้นขา), อดัม ลัลลาน่า (เอ็นหลังหัวเข่า), โจ โกเมซ (ข้อเท้า) และ เอ็มเร่ ชาน (หลัง) ก็ยังชวดเหมือนเดิม
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
เอฟเวอร์ตัน (4-2-3-1) : จอร์แดน พิคฟอร์ด – เชมัส โคลแมน, ไมเคิ่ล คีน, แอชลี่ย์ วิลเลี่ยมส์, เลห์ตัน เบนส์ – อิดริสซ่า กาน่า เกย์, มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน – ธีโอ วัลค็อตต์, เวย์น รูนี่ย์, ยานนิค โบลาซี่ – เซงค์ โทซุน
ผู้จัดการทีม : แซม อัลลาร์ไดซ์
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : ลอริส คาริอุส – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เดยัน ลอฟเรน, อัลเบร์โต้ โมเรโน่ – จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์ – อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์
ผู้ตัดสิน : ไมเคิ่ล โอลิเวอร์
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ถึง 12 จาก 15 นัดหลังสุดของ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก
– ลิเวอร์พูล ไม่แพ้เลยตลอด 16 นัดหลังสุดที่พบ เอฟเวอร์ตัน รวมทุกรายการ
– ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ถึง 21 จาก 23 นัดในพรีเมียร์ลีก
– มีสกอร์รวมต่ำกว่า 2.5 ถึง 8 จาก 10 นัดเหย้าหลังสุดที่ เอฟเวอร์ตัน พบ ลิเวอร์พูล รวมทุกรายการ
– ลิเวอร์พูล จะยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูถึง 9 จาก 11 นัดเยือนหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
ที่มา : Siamsport
เอ็มเร่ ชาน กองกลางทีมชาติเยอรมัน อาจจะลงสนามเกมสุดท้ายให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว หลังจากคาดว่าเจ้าตัวจะต้องพักยาวจนจบฤดูกาลนี้ เนื่องจากบาดเจ็บหลัง ตามรายงานจาก “เดลี่ เมล” สื่ออังกฤษ เมื่อวันศุกร์ที่ 6 เมษายน ที่ผ่านมา
มิดฟิลด์วัย 24 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง จากเกมลีกนัดที่ “หงส์แดง” ไล่ถล่ม วัตฟอร์ด 5-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา จะหมดสัญญาค้าแข้งในถิ่น แอนฟิลด์ หลังจบฤดูกาลนี้ และมีข่าวว่า ตกลงที่จะย้ายไปเล่นให้ ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ในซีซั่นหน้า
ตอนแรกคาดว่า ชาน น่าจะกลับมาลงสนามได้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดสอง กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอังคารที่ 10 เมษายนนี้ แต่อาการบาดเจ็บรุนแรงกว่าที่คิด โดยมีโอกาสสูงต้องพักจนจบซีซั่น แถมยังอาจพลาดไปเล่นให้ทีมชาติเยอรมัน ในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย อีกด้วย
จากเกมดังกล่าวที่ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์ ชนะ แมนฯซิตี้ 3-0 ซึ่งก่อนเกม บรรดาสาวกลิเวอร์พูล ได้รอต้อนรับและให้กำลังใจบริเวณรอบสนามแอนฟิลด์
ด้วยเหตุนี้เองเป็นเหตุผลที่ทำให้ ฟีร์มีโน่ ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ซึ่งหลังจบเกม กองหน้าจอมถกเสื้อ ได้ให้สัมภาษณ์กับ อีเอสพีเอ็น บราซิล ว่า “ตอนที่พวกเราอยู่บนรถบัส ผมได้เห็นถึงการต้อนรับที่ดีจากแฟนบอล”
“พูดได้เลยว่า มันทำให้น้ำตาของผมไหลออกมา”
“ซึ่งมันทำให้พวกเราทุกคนมีกำลังใจและช่วยเพิ่มพลังในการสู้บนสนามจนทำให้ได้รับชัยชนะ”
ทั้งนี้ ฟีร์มีโน่ ได้ทิ้งท้ายถึงเรื่องเกมสองที่จะออกไปเยือนเอติฮัต สเตเดี้ยม อีกด้วยว่า “แม้เราจะได้ผลการแข่งขันที่ดีและไม่เสียประตูในบ้าน แต่สงครามมันยังไม่จบยังไงเราก็ต้องเต็มที่กับเกมต่อไป”
ที่มา : siamsport
แซงต์-เอเตียน ทีมอันดับ 9 จะเปิด สต๊าด เจ๊ฟฟรัว-กีชาร์ แคว้นโอแวร์ญ-โรน-น้าลป์ ทางภาคตะวันออก รับการมาเยือนของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จ่าฝูง ในลีก เอิง ฝรั่งเศส
สำหรับสถิติการพบกันในลีก เอิง ที่บ้านเลส์ แวร์ 36 ครั้งที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 1932 จนถึงปัจจุบัน ผลปรากฏว่า เจ้าถิ่นชนะ 10 ทีมเยือนชนะ 13 โดย แซงต์-เอเตียน ไม่ชนะที่บ้านตัวเองเมื่อเจอ ปารีส ในลีก เอิง นับตั้งแต่ฤดูกาล 2008-2009 และทั้งสองทีมเจอกันล่าสุดในลีก เอิง ที่สนามแห่งนี้ ปารีส บุกมาถล่มขาดลอย 5-0 นัดที่ 37 ซีซั่นที่แล้ว
ฌอง-หลุยส์ กัสเซ่ต์ เทรนเนอร์แซงต์-เอเตียนวัย 64 ปี นำทีมไม่แพ้ 10 นัดซ้อน ล่าสุดบุกไปชนะ แอฟเซ น็องต์ ขาดลอย 3-0 ที่สต๊าด เดอ ลา โบชัวร์ ในลีก เอิง นัดที่ 31 เมื่อคืนวันอาทิตย์ 1 เมษายน
ทีมยังขาด ปอล-จอร์จส์ เอ็นเตป ปีกซ้ายบาดเจ็บที่ขา, เช็กห์ แอ็มเบนเก้ แบ็กซ้ายเซเนกัลบาดเจ็บที่น่อง
อูไน เอเมรี่ เทรนเนอร์ชาวสเปนวัย 46 ปี ของ เปแอสเช นำทีมซิวแชมป์ เฟร้นช์ ลีก คัพ ซีซั่น 2017 – 2018 หลังจากต้อน อาแอส โมนาโก 3-0 เมื่อคืนวันเสาร์ที่31 มีนาคม นับเป็นชัยชนะนัดที่ 4 ติดต่อกัน เท่ากับว่า ฤดูกาลนี้ เปแอสเช คว้าแชมป์ไปแล้ว 2 รายการ คือ เฟร้นช์ ลีก คัพ และ โทรเฟ่ เดส์ ช็องปิยงส์
เวลานี้ เปแอสเช เก็บไปแล้ว 83 คะแนน จากการลงสนาม 31 นัด พวกเขาขออีกเพียง 6 คะแนน จาก 7 นัดที่เหลืออยู่ ก็จะคว้าแชมป์ลีก เอิงไปครอง
ทางด้านตัวผู้เล่น ทีมไม่มี เนย์มาร์ ซุปตาร์ กัปตันทีมชาติบราซิล พักนาน 3-4 เดือน ภายหลังจากที่เขาเข้ารับการผ่าตัดที่กระดูกเท้าขวาหักที่ โรงพยาบาลมาร์เตเด ใน เบโลโอรีซอนชี ประเทศ บราซิล เมื่อวันเสาร์ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา
ส่วน ติอาโก้ ม็อตต้า กองกลางอิตาลีวัย 35 ปี ติดโทษแบนนัดสุดท้าย ในโทษแบนยาว 3 นัด ขณะที่ มาร์โก แวร์รัตติ กองกลางทีมชาติอิตาลี จะได้พัก, ดาเนียล อัลเวส แบ็กขวาทีมชาติบราซิลบาดเจ็บ
แต่ทีมได้ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันหายเจ็บหัวเข่า, ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า กองกลางตัวรับหายปวดท้อง พร้อมกับที่ อัลฟงส์ อาเรโอล่า นายทวารมือ 1 จะกลับมาเฝ้าเสา หลังจากได้พักในบอลถ้วย
แซงต์-เอเตียน : สเตฟาน รุฟฟิเย่ร์ – มาติเยอ เดอบูชี่, เนเวน ซูโบติช, โลอิก แปร์แร็ง (กัปตันทีม), กาเบรียล ซิลวา – โอเล่ เซลนาส, ยันน์ เอ็มวีล่า – โชนาต็อง บ็อมบา, เรมี่ กาแบลล่า, เควิน มอนเน่ต์-ปาเก้ต์ – โรเบิร์ต เบริช
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง : อัลฟงส์ อาเรโอล่า – โธมัส เมอนิเย่ร์, มาร์กินโญส, ติอาโก้ ซิลวา (กัปตันทีม), เลย์วิน กูร์กซาว่า – อาเดรียง ราบิโอต์, ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า, ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ – คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, เอดินสัน คาวานี่, อังเคล ดิ มาเรีย
ติโม แวร์เนอร์ หัวหอกตัวความหวังโชว์ฟอร์มเก่งซัดประตูโทนช่วงทดบาดเจ็บครึ่งแรกให้ แอร์เบ ไลป์ซิก ที่เน้นเกมแน่นอนเปิดบ้านเอาชนะโอลิมปิก มาร์กเซย 1-0 ครองความได้เปรียบก่อนจะไปลุ้นกันต่อในนัดที่สองที่ฝรั่งเศส
Starting Formation: 4-4-2
32. ปีเตอร์ กูลาคซี่ (GK) 7.5
27. คอนราด ไลเมอร์ 72′ 7
6. อิบราฮิม่า โคนาเต้ 6.5
5. ดาโยท อูปาเมคาโน่ 8
16. ลูคัส คลาสเตอร์มันน์ 7
10. เอมิล ฟอร์สเบิร์ก 83′ 8.5
31. ดิเอโก้ เดมเม่ (C) 7
8. นาบี้ เกอิต้า 7.5
17. บรูม่า 7.5
29. ฌอง เควิน ออกุสติน 70′ 7
11. ติโม่ แวร์เนอร์ 7.5
3. แบร์นาร์โด้ 72′ 6
7. มาร์เซล ซาลิทเซอร์ 83′ 6
9. ยุสซุฟ โพลเซ่น
20. เบนโน่ ชมิตซ์
24. โดนินิค ไกเซอร์
28. ลันดรี้ เอ็มโวโก้
44. เควิน เคมเพิล 70′ 6
ราล์ฟ ฮาเซนฮุตเทิล
Starting Formation: 4-2-3-1
16. โยฮันน์ เปเล่ (GK) 5
2. ฮิโรกิ ซากาอิ 7
4. บูบาการ์ กามาร่า 6.5
19. หลุยซ์ กุสตาโว 6.5
18. จอร์แดน เอมาวี่ 7
8. มอร์แกน แซนสัน 6
29. แฟรงค์ แซมโบ 7
17. บูน่า ซาร์ 7
10. ดิมิทรี ปาเยต์ (C) 86′ 6.5
5. ลูคัส โอคัมโปส 7.5
11. คอสตาส มิโทรกลู 80′ 6.5
12. อองรี เบดิโม่
13. อายเมน อับเดนนูร์
14. คลินตัน เอ็นยี่
22. เกรกอรี่ เซอร์ติช
27. มักซิเม่ โลเปซ 86′ 6
28. วาเลรี่ เจอร์เมน 80′ 6
40. ฟลอเรียน เอสคาเลส
รูดี้ การ์เซีย
แค่ 23 วินาทีแรกเท่านั้น โกเก้ ปลดล็อคเร็วตามด้วย อองตวน กรีซมันน์ พังประตูตอกย้ำชัยให้ ตราหมี แอตเลติโก้ มาดริดไม่พลาดอัด สปอร์ติ้ง ลิสบอน 2-0 กุมความได้เปรียบก่อนไปเยือนโปรตุเกสสัปดาห์หน้า
Starting Formation: 4-4-2
13. แยน โอบลัค 6
20. ฆวนฟราน 6
15. สเตฟาน ซาวิช 6
2. ดิเอโก้ โกดิน 7
19. ลูคัส เอร์นานเดซ 6
11. อังเคล คอร์เรอา 53′ 5
14. กาบี้ 6
8. ซาอูล ญิเกซ 6
6. โกเก้ 7.5
18. ดิเอโก้ คอสต้า 87′ 6
7. อองตวน กรีซมันน์ 90′ 7
45. อันโตนิโอ มอนเตโร่
25. อเซล แวร์เนอร์
30. โอลาเบ
5. โธมัส พาร์ตี้ 87′ –
23. วิโตโล่ 90′ –
21. เควิน กาเมโร่ 53′ 5
9. เฟร์นานโด ตอร์เรส
Starting Formation: 4-2-3-1
1. รุย ปาทริิซิโอ 5.5
92. คริสเตียน ปิชชินี่ 5
4. เซบาสเตียน โคอาเตส 4
22. เฌเรมี่ มาติเยอ 4
5. ฟาบิโอ โคเอนเทรา 80′ 5
16. โรดริโก้ บัตตาเญีย 5
14. วิลเลี่ยม คาร์วัลโญ่ 44′ 6
77. เกลสัน มาร์ตินส์ 6
8. บรูโน่ เฟร์นานเดส 87′ 5
20. ไบรอัน รุยซ์ 6
28. บาส โดสท์ 5
18. โรแม็ง ซาลิน
6. อันเดร ปินโต้
13. สเตฟาน ริสตอฟสกี้
66. เจา ปัลญินญ่า
40. เฟรดี้ มอนเตโร่ 87′ –
7. รูเบน ริไบโร่ 80′ 4
9. มาร์กอส อคูญ่า 44′ 5
“ปืนใหญ่” ของอาร์แซน เวนเกอร์ จัดทัพแบบเน้นเต็มสูบแนวรุกนำโดย อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ ยืนหัวหอกตัวเป้า โดยมี เฮนริค มคิทาร์ยาน, แจ็ค วิลเชียร์, เมซุต โอซิลคอยปั้นเกม
ขณะที่ซีเอสเคเอ มอสโก ตัวแทนจากรัสเซีย ก็จัดเต็มมาเช่นกัน ตัวรุกทั้ง อาห์เหม็ด มูซ่า, อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน, อลัน ชาโกเยฟ รวมถึง ปอนตุส เวิร์นบลูม ลงสนามด้วยกันทั้งหมด
เริ่มเกมมาแค่ 9 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้เฮก่อน จากจังหวะที่ เอคตอร์ เบเยริน ผ่านบอลเรียดจากฝั่งขวามาถึง อารอน แรมซี่ย์ แปด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเสียบใต้คานอย่างแรง ปืนใหญ่ได้ประตูนำเร็ว 1-0
แต่ถัดมาเพียง 6 นาที ทีมเยือนมาได้ประตูตีเสมอทันทีจากการยิงฟรีคิกของ อเล็กซานเดอร์ โกโลวิน บริเวณหน้าเขตโทษเยื้องไปทางฝั่งขวา บอลลอยอ้อมกำแพงมุดเสียเสา ซีเอสเคเอ มอสโก ตามตีเสมอสำเร็จ
เกมเปิดแลกกันสนุก แต่ปืนใหญ่มาได้จุดโทษในนาทีที่ 23 จากจังหวะที่ จอร์จี้ เชนนิคอฟ ไปทำฟาวล์ด้านหลังใส่ เมซุต โอซิล ล้มลงในเขตโทษ ผุ้ตัดสินเป่าให้จุดโทษทันทีและเป็นอเล็กซองด์ ลากาแซตต์ สังหารจุดโทษไม่พลาด อาร์เซน่อลกลับขึ้นมานำอีกครั้ง 2-1
อาร์เซน่อล ได้ประตูนำห่างเพียง 5 นาทีถัดมา จากเมซุต โอซิล หยอดบอลจากนอกกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้อารอน แรมซี่ย์ กระโดดดีดบอลด้วยขวาข้ามหัวนายด่าน ซีเอสเคเอ มอสโก เข้าประตูไปแบบสุดสวย ปืนใหญ่นำห่าง 3-1
สกอร์ไหลเป็นของฝั่งเจ้าถิ่นอย่างต่อเนื่องในนาทีที่ 35 จากเมซุต โอซิลปาดเข้าในจากฝั่งซ้ายให้อเล็กซองด์ ลากาแซตต์ จับบอลหนึ่งจังหวะก่อนจะตะบันด้วยซ้ายบริเวณจุดโทษ บอลเสียบเสาซ้ายเข้าไปแบบสุดสวย ปืนใหญ่นำห่างถึง 4-1
จบครึ่งแรก อาร์เซน่อลนำห่างซีเอสเคเอ มอสโก 4-1
เริ่มครึ่งหลังมา ปืนใหญ่น่าได้ลูกที่ 5 ในนาทีที่ 56 จากการยิงซ้ำของอารอน แรมซีย์ ในกรอบเขตโทษแต่บอลข้ามคานออกไปแบบน่าเสียดาย
โอกาสของอาร์เซน่อลมาอย่างต่อเนื่องในนาทีที่ 77 จากจังหวะตะบันด้วยขวาของอารอน แรมซีย์ แต่บอลพุ่งไปชนเสาเด้งออกมา
แดนนี่เวลเบ็ค ที่ลงสนามมา น่าทำประตูได้อย่างยิ่งในนาทีที่ 84 จากจังหวะที่เขาเข้าชาร์จจ่อๆ แต่บอลติดเซฟของ อิกอร์ อากินเฟเยฟ
จบเกมอาร์เซน่อลเปิดบ้านถล่มซีเอสเคเอ มอสโก ขาดลอย 4-1 จ่อเข้ารอบรองชนะเลิศยูโรปาลีก
อาร์เซน่อล (4-2-3-1) : ปีเตอร์ เช็ค – เอคตอร์ เบเยริน, ชโคดราน มุสตาฟี่, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่, อิ๊กนาซิโอ มอนเรอัล – อารอน แรมซี่ย์, กรานิต ชาคา – เฮนริค มคิทาร์ยาน, แจ็ค วิลเชียร์,เมซุต โอซิล – อเล็กซองด์ ลากาแซตต์
ซีเอสเคเอ มอสโก (3-1-4-2) : อิกอร์ อากินเฟเยฟ – วาซิลี่ เบเรซุตสกี้, เซอร์เก อิ๊กนาเชวิช, อเล็กเซ เบเรซุตสกี้ – บิบราส นัตโช่ – คอนสแตนติน คูชาเยฟ, อลัน ชาโกเยฟ, อเล็กซานเดอร์โกโลวิน, จอร์จี้ เชนนิคอฟ – อาห์เหม็ด มูซ่า, ปอนตุส เวิร์นบลูม
ผู้ตัดสิน : พาเวล คราโลเว็ช (เช็ก)
มิดฟิลด์วัย 24 ปี บาดเจ็บหลังในเกมที่”หงส์แดง”เปิดบ้านถล่มวัตฟอร์ด 5-0 ช่วงกลางเดือนที่แล้ว จากนั้นเขาไปอยู่กับทีมขาติเยอรมนี แต่ก็ไม่ได้ลงสนามเลยทั้งสองนัดอุ่นเครื่องล่าสุด
หลังกลับมาจากทีมชาติเขาก็ยังต้องรักษาตัวและไม่มีชื่อในสองเกมล่าสุดของลิเวอร์พูล ทั้งในพรีเมียร์ลีกที่บุกชนะคริสตัลพาเลซ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ถล่มแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ล่าสุด มิร์เรอร์ รายงานว่าชานจะพลาดลงสนามในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ สุดสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน และเขาจะพลาดลงสนามทั้งฤดูกาลนี้เลยด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องลุ้นว่าจะฟิตทันและมีชื่อติดทีมชาติเยอรมนีชุดลุยศึกฟุตบอลโลกหรือไม่อีกด้วย
อดีตแข้งไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เหลือสัญญาในถิ่นแอนฟิลด์จนจบฤดูกาลนี้เท่านั้น เขายังไม่ต้องการพูดถึงการต่อสัญญา ขณะเดียวกันก็มียักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปหลายทีมให้ความสนใจเซ็นฟรีดึงเขาไปร่วมทีม
หากท้ายที่สุดชานเลือกเซ็นสัญญากับทีมอื่น นั่นเท่ากับว่าเขาได้ลงเล่นนัดสุดท้ายให้กับลิเวอร์พูลไปแล้วเมื่อกลางเดือนมีนาคม…
ที่มา : soccersuck