สนาม : สตาดิโอ อิม โบรุสเซีย พาร์ค
ดีเตอร์ เฮ็คคิงก์ เทรนเนอร์สิงห์หนุ่มผลงานสุดเลวร้าย 7 เกมหลังสุดชนะแค่นัดเดียวและแพ้ถึง 5 นัด โดยยังไม่สามารถใช้งานแข้งเดี้ยงอย่าง ลาสซ์โล่ เบเนส (กล้ามเนื้อ), รีซ อ็อกฟอร์ด (กล้ามเนื้อ), มามาดู ดูกูเร่ (กล้ามเนื้อ), อิบราฮิม่า ตราโอเร่ (กล้ามเนื้อ), ยานนิค เวสเตอร์การ์ด (ฝ่าเท้า) และ เดนิส ซากาเรีย (กล้ามเนื้อ) แต่ได้ ออสการ์ เวนด์ท ฟิตกลับมาคืนตัวจริง และมี ราอูล โบบาดีย่า ยืนศูนย์หน้า
ฝั่งฮอฟเฟ่นไฮม์ของเทรนเนอร์หนุ่ม ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ยังมีลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่หมดสิทธิ์ใช้งานตัวเจ็บอย่าง สเตฟาน ปอสช์ (กระดูก), เคเรม เดเมียร์บาย (เอ็นกล้ามเนื้อ) และ เดนนิส ไกเกอร์ (ต้นขา) โดยคู่หัวหอกเป็น แซร์จ นาบรี้ กับ อังเดรจ์ ครามาริช
เริ่มเกม 13 นาที ทีมเยือนออกนำก่อน 1-0 จากลูกเตะมุมฝั่งซ้าย ครามาริชเปิดโค้งหาเขตโทษ เบนยามิน ฮึบเนอร์ เทกตัวขึ้นโขกเต็มหัวเต็มตาข่าย
เกมดำเนินมาถึงนาที 21 กลัดบัคต้องเปลี่ยนสำรองคนแรกเมื่อโบบาดีย่ามีปัญหาเจ็บ และต้องให้ โยซิป เดอร์มิช ลงมาแทน แล้วก็ช่วยให้ทีมตีเสมอได้ 1-1 จากจังหวะที่กองหน้าสวิสหลุดเข้าไปในเขตโทษ ก่อนนายทวาร ยาน ซอมเมอร์ พุ่งเตะมาชนตัวและเด้งเข้าทางเลยยิงง่ายๆ เข้าไป
หมดครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันอยู่ 1-1
กลับมาลุยต่อครึ่งหลังเจ้าบ้านครองบอลได้มากกว่า แต่นาที 58 กลับต้องเสียจุดโทษ เมื่อนาบรี้กระชากบอลเข้ากรอบ 18 หลา และโดน โยนาส โฮฟมันน์ เตะสกัดใส่จนล้มคว่ำ ผู้ตัดสิน มาร์ติน เพเทอร์เซ่น ชี้ไปที่จุดโทษและเป็นครามาริชสังหารด้วยขวาเสียบมุมซ้ายมือของตัวเอง
จากนั้นนาที 72 เจ้าถิ่นตีเสมออีกครั้งเป็น 2-2 เมื่อ ลาร์ส ชตินเดิ้ล รับลูกแทงทะลุจากโฮฟมันน์และพลิกตัวอย่างลุยแหลกแบบไม่มีอะไรจะเสียและตามตีเสมออีกครั้ง เมื่อรัฟฟาเอลเปิดจากเขตโทษฝั่งซ้ายให้ มัทธีอัส กินเธอร์ แปเน้นๆ เสียบตาข่าย จบเกม กลัดบัค ตามตีเสมอ ฮอฟเฟ่นไฮม์ สุดระทึก 3-3 แบ่งกันทีมละหนึ่งคะแนน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค : ยาน ซอมเมอร์, โทนี่ ยันท์ชเค่อ, มัทธีอัส กินเธอร์, นิโก้ เอลเวดี้, พาทริก แฮร์มันน์ (รัฟฟาเอล น.70), โยนาส โฮฟมันน์, มิชาเอล คีซองเซ่, ออสการ์ เวนด์ท (เฟเบียน จอห์นสัน น.81), ธอร์กกาน อาซาร์, ลาร์ส ชตินเดิ้ล, ราอูล โบบาดีย่า (โยซิป เดอร์มิช น.21)
ฮอฟเฟ่นไฮม์ : โอลิเวอร์ เบามันน์, เควิน อัคโปกูมา, เควิน โฟ้กท์, เบนยามิน ฮึบเนอร์, ยูเก้น โพลันสกี้ (มาร์ค อูธ น.54), พาเวล คาเดราเบ็ค, นาเดียม อามิรี่ (ฮาวาร์ด นอร์ดไวท์ น.81), โฟลเรียน กริลลิทส์, นิโก้ ชูลซ์, อังเดรจ์ ครามาริช, แซร์จ นาบรี้ (อดัม ซาไล น.74)
ผู้ตัดสิน : มาร์ติน เพเทอร์เซ่น
ที่มา : [Siamsport]
โดย เกมเมื่อคืนนี้ สวอนซี เปิดบ้านรับการมาเยือนของ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เเละเป็นฝ่ายหลังที่สามารถเอาชนะไปได้ 3-0 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอ ได้สำเร็จ
ทั้งนี้ เมาริซิโอ ปอเช็ตติโน่ ได้ให้สัมภาษณ์กับ บีบีซี สำนักข่าวชื่อดังว่า “เป็นฟอร์มที่ดีมาก ผมทั้งดีใจและพอใจมากเลย เราได้เล่นรอบรองที่เวมบลีย์แล้ว ผมดีใจมากๆ”
“เราคู่ควรกับชัยชนะอย่างที่สุด เราเล่นดีมาก แน่นอนพอนำเร็วก็ครองเกมง่าย สำคัญสุดสำหรับผมคือเราคู่ควรกับมันแถมทีมเล่นดีขึ้นเยอะ เเละเราก็สมควรเข้ารอบ”
“ผมไม่อยากพูดถึง VAR มากไปกว่านี้เพราะมันยากเหลือเกินในการจัดการไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม ผมไม่อยากให้ทุกคนสับสนไปมากกว่านี้เลย”
“มิเชล ฟอร์มซูเปอร์เซฟต้นครึ่งหลังซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาคือโกลที่น่าทึ่ง แต่นั่นคือโอกาสเดียวของอีกฝ่ายเลยนั่นเเหละ”
“ถ้าได้ดู 3 นัดหลังสุดเราชนะด้วย 11 ตัวจริงคนละชุดกันเช่นเดียวกับวันนี้ ที่สำคัญคือทุกคนลงสนามได้และทีมไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าใครลงก็ตาม เรายึดมั่นในแนวทางเดิม ความต่อเนื่องเหมือนเดิม นั่นเเหละสำคัญที่สุด” ปอเช็ตติโน่ทิ้งท้าย
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ เพิ่งโชว์ฟอร์มมหาเทพ หลังเหมาคนเดียว 4 ประตูแถมแอสซิสต์อีกลูกที่เหลือให้ ฟีร์เมียโน่ เปิดแอนฟิลด์ ไล่ถล่ม วัตฟอร์ด 5-0 ในศึกพรีเมียร์ลีกคู่สุดท้ายของวันเสาร์
ล่าสุดอ็อพต้า กับ สกาย สปอร์ตส์ ระบุสถิติต่างๆที่เกิดขึ้น
– ซาล่าห์ คือนักเตะอียิปต์รายแรกเลยที่ทำแฮททริคได้ในพรีเมียร์ลีก นับเป็นสัญชาติที่ 43
– ซาล่าห์ คือลูกทีมลิเวอร์พูล คนแรกยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทำแฮททริคในพรีเมียร์ลีกได้
– ซาล่าห์ สามารถทำแฮททริคครั้งแรกที่อยู่กับ ลิเวอร์พูล
– ซาล่าห์ สามารถทำ 4 ประตูจากโอกาส 4 ครั้ง คนสุดท้ายก่อนหน้านี้ที่ทำได้ในการแข่งขันพรีเมียร์ลีกคือ อังเดร อาร์ชาวิน เล่นให้ อาร์เซน่อล รัว 4 ตุงใส่ ลิเวอร์พูล ในปี 2009
– ซาล่าห์ คือนักเตะ ลิเวอร์พูล รายที่ 4 ที่ทำคนเดียว 4 ประตูได้ในพรีเมียร์ลีกนัดเดียวต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เคยทำได้ 2 ครั้ง, ไมเคิล โอเว่น เคยทำได้ 2 ครั้งและ หลุยส์ ซัวเรซ
– ซาล่าห์ กลายเป็นนักเตะที่ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นแรกได้มากที่สุดตลอดกาลทำไป 36 ลูกรวมทุกรายการ, อันดับ 2 เฟร์นานโด ตอร์เรส 2007/08 ทำได้ 34 ลูก ,อันดับ 3 เคนนี่ ดัลกลิช 1977/78 ทำได้ 31 ลูก
– ซาล่าห์ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่ คือคู่หูที่แอสซิสต์ให้ทำประตูกันและกันมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ซาล่าห์ จ่าย 4 , ฟีร์เมียโน่ จ่าย 3
สนาม : ลิเบอร์ตี้
สวอนซี เจ้าถิ่น ไม่มี อังเดร อายิว และ แอนดี้ คิง ที่ติดคัพ-ไท รวมไปถึง จอร์แดน อายิว ที่ติดโทษแบน ส่วน สเปอร์ส ต้องขาด แฮร์รี่ เคน กองหน้าตัวเก่งที่เจ็บข้อเท้าไปเช่นกัน
เริ่มเกมเป็น สวอนซี ที่เดินเกมเข้าใส่ แต่ว่ายังทำอะไรแนวรับทีมเยือนไม่ได้ ในช่วง10นาทีแรก
เกมมาถึง นาทีที่ 11 เป็นสเปอร์ส ที่ออกนำก่อน1-0 เอริค ลาเมล่า พาบอลขึ้นมาก่อนจิ้มต่อให้ คริสเตียน อีริคเซ่น ตะบันด้วยซ้ายจากหน้าเขตโทษ บอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไป อย่างสวยงาม
สเปอร์สเริ่มจับทางได้ นาที15 เอริค ดายเออร์ ไหลให้ ลูคัส มูร่า พาบอลแหวกแนวรับเจ้าถิ่น เข้าไปยิงในเขตโทษ แต่ คริสตอฟเฟอร์ นอร์ดเฟลด์ท ล้มตัวคว้าเอาไว้ได้
นาที21 เบน เดวิส สบโอกาส ลองยิงไกล แต่ว่าบอลหลุดกรอบออกไป
เกมรุกของสเปอร์สดีกว่า นาที32 มูร่า ไหลให้ ลาเมล่า ตามมาซัดจากหน้าเขตโทษ แต่บอลลอยข้ามคานไป
นาที37 ลาเมล่าไหลบอลให้ อีริคเซ่น สับไกยิงด้วยซ้ายจากหน้าเขตโทษ นอร์ดเฟลด์ท เหินปัดบอลลอยไปชนคาน กระดอนออกไปอย่างน่าเสียดาย
สเปอร์สลุ้นอีก ในนาที40 อีริคเซ่น เปิดเตะมุมไปให้ เอริค ดายเออร์ ขึ้นโขกเผาขน แต่บอลข้ามคานไปอีก
สเปอร์สมาทำประตูที่2ได้ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก มุสซ่า ซิสโซโก้ แทงบอลให้ เอริค ลาเมล่า พาบอลมาจนถึงหน้าเขตโทษ แล้วซัดด้วยขวา เข้าประตูไป
จบครึ่งแรกสเปอร์ส จึงบุกมานำอยู่ 2-0
เริ่มครึ่งหลังมานาทีแรก สวอนซี มีลุ้น คี ซุง-ยอง จ่ายให้ มาร์ติน โอลส์สัน ยิงจากนอกเขตโทษ มิเชล ฟอร์ม ปัดบอลออกมา แทมมี่ อับราแฮม ตามไปโหม่งซ้ำในเขตโทษ แต่ ฟอร์ม ยังตามมาเซฟไว้ได้อีก
นาที50 สเปอร์ส ลุ้นบ้าง เบน เดวิส จ่ายให้ ดายเออร์ ยิงนอกเขตโทษ แต่ไม่ผ่านมือ นอร์ดเฟลด์ท
ในนาที62 สเปอร์ส นำห่าง3-0 ลูคัส มูร่า ไหลบอลคืนกลับให้ คริสเตียน อีริคเซ่น ยิงจากหน้าเขตโทษ บอลพุ่งเข้าไปประตู ไปอย่างสวยงาม
สเปอร์สเริ่มจะเพลาเกมรุก ส่วนสวอนซีก็บุกไม่ขึ้น ทำให้ไม่ค่อยจะมีโอกาสที่จะทำประตูกัน
นาที86 สเปอร์ส ได้ฟรีคิกริมเขตโทษด้านซ้าย อีริคเซ่น หลอกยิงเสาแรก แต่ นอร์ดเฟลด์ท ปัดเอาไว้ได้ทัน
หมดเวลา สเปอร์สจึงชนะไป 3-0 ได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองฯ ต่อไป
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
สวอนซี : คริสตอฟเฟอร์ นอร์ดเฟลด์ท,ไคล์ นอจ์ตัน(ลูเซียโน่ นาร์ซิงห์ น.46),ไมค์ ฟาน เดอร์ ฮอร์น(คอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ น.81),ไคล์ บาร์ทลี่ย์,อัลฟี่ มาวสัน,มาร์ติน โอลส์สัน,เนธาน ดายเออร์(เวย์น เราท์เล็ดจ์ น.86), คี ซุง-ยอง, ทอม แคร์โรลล์, แซม คลูคาส, แทมมี่ อับราแฮม
สำรองไม่ได้ลงเล่น : ลิออน บริตตัน,เออร์วิน มุลเดอร์,เฟเดริโก้ เฟร์นานเดซ,จอร์จ บายเออร์
สเปอร์ส : มิเชล ฟอร์ม – คีแรน ทริพเพียร์,ดาวิซอน ซานเชซ , ยาน แฟร์ต็องเกน, เบน เดวิส,มุสซ่า ซิสโซโก้ , เอริค ดายเออร์,เอริค ลาเมล่า(เดเล่ อัลลี่ น.81),คริสเตียน อีริคเซ่น , ลูคัส มูร่า(เฟร์นานโด ยอเรนเต้ น.73),ซน ฮึง-มิน
สำรองไม่ได้ลงเล่น : อูโก้ โยริส,โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์,,ฮวน ฟอยธ์,มูซ่า เดมเบเล่,แซร์ก โอลิเยร์
ผู้ตัดสิน : เควิน เฟรนด์
“หงส์แดง”เตรียมลงสนามพบ“แตนอาละวาด”ที่แอนฟิลด์ในคืนนี้หลังจากต้องพ่ายอริตลอดกาลแถมโดนล้อมาตลอดสัปดาห์อีกต่างหาก
เดอะ ค็อปที่ตามไปเชียร์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดนั้นแม้เห็นทีมรักพ่ายแพ้แต่ก็พยายามเปล่งเสียงให้กำลังใจนักเตะเต็มที่หลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย
เฮนเดอร์สันกล่าวว่า“เมื่อคุณอยู่กับสโมสรมานานเหมือนผมในตอนนี้ มันก็แทบจะไม่ต้องประหลาดใจกับแฟนชั่นของแฟนบอลลิเวอร์พูลหรอกนะ เพราะพวกเขาเป็นแบบนั้นมาหลายครั้งแล้ว”
“แต่ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทำผลงานในมาตรฐานระดับสูง หรือจะใช้คำอะไรที่ดีกว่านี้ก็แล้วแต่นั้น ทางฟากแฟนบอลทีมเยือนที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเมื่อวันเสาร์ที่แล้วมันสุดยอดมาก”
“ผมไม่แน่ใจว่าผมจำประสบการณ์อะไรแบบนี้ก่อนหน้านี้ได้หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทีมแพ้ให้กับคู่แข่งสำคัญ”
“ก่อนหน้านั้น ระหว่างเกม หรือหลังจบเกม พวกเขาร้องเพลงและกระตุ้นอยู่ตลอด จนสุดท้ายก็แสดงให้กับนักเตะได้เห็นว่าแม้ว่าจะแพ้แต่พวกเขาจะอยู่กับเรา”
“ผมบอกคุณได้เลยว่ามันไม่ได้ถูกละเลย ผมได้เห็นตามสื่อโซเชี่ยลนะว่าแม้ฝั่งยูไนเต็ดจะออกจากสนามจนโล่งแล้วและเราก็ออกจากสนามไปแล้วแต่ยังมีการร้องเพลงเชียร์อยู่ มันไม่ใช่การฉลองแต่เป็นการส่งข้อความของการท้าทาย”
“เราจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ในเกมวันนี้ซึ่งเป็นอีกหนึ่งการต่อสู้ที่ยากลำบากสำหรับเรา”
“เมื่อคุณมีกองเชียร์ที่ทำแบบนั้น เมื่อทีมพ่ายแพ้ในเกมเยือนซึ่งบางทีเราเห็นพ้องกันว่าอย่างน้อยเราก็อยากแพ้แบบนี้ มันมีความหมายสำหรับนักเตะที่จะต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการตอบแทนบางสิ่งกลับไปในโอกาสแรก นั่นคือโอกาสในวันนี้”
ยูไนเต็ดทิ้งห่างลิเวอร์พูลเป็น 5 คะแนนหลังเอาชนะทีมของเยอร์เก้น คล็อปป์ 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว
อย่างไรก็ตามพวกเขาตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีกหลังพ่ายช็อคต่อเซบีญ่าและยังมีโปรแกรมหนักกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้รวมถึงอาร์เซน่อลใน 8 เกมสุดท้ายของพรีเมียร์ ลีก
ลิเวอร์พูลสามารถบีบช่องว่างมาเหลือ 2 คะแนนในเกมกับวัตฟอร์ดวันนี้และเมอร์สันก็เชื่อว่าทีมของคล็อปป์จะจบอันดับเหนือยูไนเต็ด
“ผมเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะแซงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเข้าเป็นอันดับที่ 2 และเกมนี้มีความสำคัญกับพวกเขาในการลดช่องว่าง 5 คะแนนลงมา”เมอร์สันกล่าว
“มันมีความหมายอย่างมากกับการเล่นเพื่ออันดับที่ 2 จำคำพูดของผมไว้”
“ยูไนเต็ดต้องเล่นกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ดังนั้นช่องว่างจะเป็น 2 คะแนน ลิเวอร์พูลต้องทำให้มั่นใจว่าพวกเขาเอาชนะเกมเหล่านี้ได้”
กระทั่ง มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน ต้องดิ้นรนเพื่อโอกาสลงสนามอย่างสม่ำเสมอ ภายใต้การทำทีมของกุนซือ โจเซ่ มูรินโญ่ ในฤดูกาลนี้และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พร้อมปล่อยตัวเขาออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์
กองหลังทีมชาติอิตาลี ลงสนามเพียงแค่ 13 เกม ในฤดูกาล 2017-18 และได้ลงเล่นสนามเกมเดียวในพรีเมียร์ ลีก นับตั้งแต่ปีใหม่
เขานั้นผิดหวังมาก กับการที่ไม่ค่อยได้รับโอกาส และตกเป็นข่าวเรื่องการย้ายกลับบ้านเกิดที่อิตาลี โดยล่าสุด กัลโช่แมร์กาโต้ สื่อชื่อดังประเทศอิตาลี ระบุว่าเขานั้นได้ตกลงย้ายไป “ม้าลาย” ยูเวนตุส เรียบร้อยแล้ว
มันยังมีรายละเอียดให้ต้องจัดการ และ “ม้าลาย” ยูเวนตุส กำลังดำเนินการเจรจาอยู่
จนกระทั่ง “ม้าลาย” ยูเวนตุส นั้นยังมีตัวเลือกอื่นที่พิจารณาอยู่ด้วย และจะตัดสินใจอย่างเป็นทางการว่าจะเซ็นสัญญากับใครตอนจะจบฤดูกาลนี้
ก่อนหน้านี้ ใน ยูฟ่า เเชมเปี้ยนส์ ลีก อัลบาโร่ โมราต้าได้ลงสนาม ในฐานะตัวสำรองของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เนื่องจากผลงานของเขานั้นไม่ดีเท่าที่ควรในลีก
เเละ การเปิดเผยรายชื่อนับเป็นการตอกย้ำฟอร์มอันย่ำเเย่ของเจ้าตัว เนื่องจากนับตั้งเเต่ปี 2018 ที่ผ่านมานั้นเจ้าตัวยิงให้กับต้นสังกัดไปเพียง 3 ประตูเท่านั้น
ซึ่งผลงานของเขานั้น ทำให้เขาหลุดทีมชาติสเปน เมื่อกุนซือ ฆูเลน โลเปเตกิ ตัดสินใจไม่เรียกเข้าติดเป็นหนึ่งใน 24 ขุนพลทีมชาติสเปนชุดใช้ลงอุ่นเครื่องในวันที่ วันที่ 23 มีนาคม กับเยอรมัน ที่ดุสเซลดอร์ฟ
และอาร์เจนตินา ที่วานด้า เมโทรโผลิตาโน่ สนามเหย้าแอตเลติโก มาดริด ในอีก 4 วันหลังจากนั้น
ผู้รักษาประตู : ดาบิด เด เกอา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด), เปเป้ เรน่า (นาโปลี), เคปา อาร์ริซาบาลาก้า(แอธเลติก บิลเบา)
กองหลัง : คาร์บาฆาล (เรอัล มาดริด),อัลบาโร่ โอดริโอโซล่า (เรอัล โซเซียดาด), นาโช่ (เรอัล มาดริด), เซร์คิโอ รามอส (เรอัล มาดริด), เคราร์ด ปิเก้(บาร์เซโลน่า), ฆอร์ดี้ อัลบา (บาร์เซโลน่า), มาร์คอส อลอนโซ่ (เชลซี)
กองกลาง : ดาบิด ซิลวา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้), อิสโก้ (เรอัล มาดริด), ธิอาโก้ อัลคันทาร่า (บาเยิร์น มิวนิค), โกเก้ (แอตเลติโก มาดริด), ซาอูล (แอตเลติโก้ มาดริด), อันเดรส อิเนียสต้า (บาร์เซโลน่า), โรดริ (บีญาร์เรอัล), ดานี่ ปาเรโฆ่ (บาเลนเซีย)
กองหน้า : ดิเอโก้ คอสต้า (แอตเลติโก้ มาดริด),ยาโก้ อัสปาส (เซลต้า บีโก้), โรดริโก้(บาเลนเซีย), มาร์โค อเซนซิโอ(เรอัล มาดริด), ลูคัส บาสเกซ (เรอัล มาดริด)
ลอสเซิลถูกยืมตัวจากไมนซ์มาอยู่กับฮัดเดอร์สฟิลด์ตลอดฤดูกาลนี้และเป็นหนึ่งในสองนักเตะที่ลงสนามครบทุกนาทีให้ทีมในพรีเมียร์ ลีก
เขาเก็บได้ 8 คลีนชีทช่วยให้ทีมของว๊ากเนอร์มีคะแนนเหนือโซนตกชั้น 4 แต้มในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด
“ข่าวที่โยนาสจะย้ายมาอยู่กับสโมสรแบบถาวรในช่วงซัมเมอร์เป็นข่าวดีสำหรับฮัดเดอร์สฟิลด์ต่อจากข่าวที่ฟลอร็องต์ ฮาเดิร์กโยนาจจะย้ายมาร่วมทีมแบบถาวรที่เปิดเผยไปเมื่อสัปดาห์ก่อน” ว๊ากเนอร์กล่าว
“เรารู้ว่าโยนาสมีคุณภาพอย่างมากเมื่อเขามาอยู่กับเราแบบยืมตัวและแน่นอนว่ามันพิสูจน์แล้ว ความทุ่มเทของเขาเพอร์เฟคสำหรับแนวทางการเล่นของเราแต่เขาก็เซฟจังหวะสำคัญเอาไว้หลายครั้งด้วย ผมคิดว่าเราได้เห็นเขาพัฒนาขึ้นเมื่อฤดูกาลเดินหน้าไป”
“เขาเป็นส่วนสำคัญในฤดูกาลของเราจนถึงตอนนี้ทั้งในและนอกสนาม ผมมั่นใจว่าเขาจะเป็นเช่นนั้นต่อไปเพราะเรามีเป้าหมายอยู่รอดในพรีเมียร์ ลีก”
อลิสสันตกเป็นเป้าหมายของหลายสโมสรและมีรายงานข่าวว่าลิเวอร์พูลพร้อมทุ่มเงิน 70 ล้านปอนด์คว้าตัวเขาในช่วงปิดฤดูกาล
นาโปลีเองก็ตกเป็นข่าวลือพัวพันกับนักเตะที่ย้ายจากอินเตอร์นาซิอองนาลมาอยู่กับโรม่าเมื่อปี 2016
อย่างไรก็ตามมันมีรายงานข่าวว่าเรอัล มาดริดก็เป็นอีกสโมสรที่แสดงความสนใจในตัวมือกาววัย 25 ปี
“ข่าวเหล่านั้นทำให้ผมอยากทำผลงานให้ดียิ่งขึ้น มันปฏิเสธไม่ได้เลย” อลิสสันกล่าว
“ผู้คนพึงพอใจเมื่อมีการรับรู้ ผมเองก็มีความสุขอย่างมากเมื่อมีคนรับรู้ถึงผลงานเช่นนั้น”
“มันหมายความว่าผมกำลังทำหน้าที่ได้ดีและพวกเขากำลังจ้องดูผม”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรอัล มาดริด”