มิดฟลิด์ทีมชาติเยอรมนีลงสนามเป็นตัวจริงในเกมที่ “หงส์แดง” เปิดบ้านไล่ตบวัตฟอร์ด 5-0 จากการเหมายิง 4 ประตูของโม ซาลาห์ และอีกลูกของโรแบร์โต้ ฟิร์เมียโน่
อย่างไรก็ตามเขาอยู่ในสนามได้เพียง 27 นาทีก่อนเดินย่องกุมหลังเข้าห้องแต่งตัว และเป็นเจมส์ มิลเนอร์ลงไปแทน
หลังเกมคล็อปป์ออกมาพูดถึงอาการของลูกทีมว่า “เขาเจ็บที่หลัง เขาไม่คิด และผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นอาการที่หนักอะไร แต่มันจะหยักแน่ถ้าฝืนเล่นต่อ”
“เขามีปัญหานี้มาเล็กน้อยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราอนุญาตให้เขาพักพิเศษ 1 วันเพื่อได้ฟื้นตัว แต่เขาคิดว่ามันจะเวิร์คเลยซ้อมตามปกติเมื่อวานนี้”
“มันเกิดขึ้นจากจังหวะโหม่งและอาจจะเพราะอุณหภูมิในกล้ามเนื้อ มันเป็นเรื่ องของกล้ามเนื้่อนั่นแหละ แต่มันไม่ควรที่จะร้ายแรงอะไรและเขาจะไปอยู่และรักษากับทีมชาติ(เยอรมนี)ด้วยนะคิดว่า โปรแกรมเตะของพวกเขาไม่ใช่พรุ่งนี้ เดี๋ยวเราก็ทราบอาการเพิ่มเติม แต่มันไม่ควรจะเป็นปัญหาอะไร”
เกมนี้อดัม ลัลลาน่า ไม่มีชื่อในทีม ซึ่งคล็อปป์เผยว่า “ถ้าวันนี้เป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาลอดัมน่าจะได้ลงสนาม”
“แต่มันไม่ใช่ไง เพราะงั้นเราเลยให้เขาพักเพื่อให้ฟิตยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องมานั่งข้างสนามหรือลงเป็นตัวจริง ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะพอใจหรอก”
“ผมคุยกับแกเร็ธ เซาธ์เกตและตัวอดัมเอง ว่าชัดเจนที่อดัมต้องฟิต 100 เปอร์เซนต์ในแคมป์ทีมชาติ” เขากล่าว
101 เกรทโกลส์ สื่อวงการฟุตบอล เปิดเผยภาพที่อ้างว่าเป็นชุดเยือนตัวใหม่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดสโมสรแห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สำหรับการลงเล่นในฤดูกาลหน้า โดยที่เน้นสีชมพูแทบทั้งชุด
สำหรับตราสโมสรและโลโก้ของ อาดิสดาส นั้น จะใช้สีดำเพื่อให้มันดูโดดเด่นเป็นสง่า ขณะที่ตรงไหล่ก็มีการใส่เส้นสีดำเข้าไปด้วย ส่วนสปอนเซอร์ตรงหน้าอกเสื้อก็ยังเป็นตรา เชฟโรเล็ต สีทองอร่ามเหมือนเดิม
ทั้งนี้ ภาพที่ 101 เกรทโกลส์ เอามาเผยแพร่ในครั้งนี้มันคล้ายคลึงกับที่ ฟุตตี้ เฮดไลน์ส เว็บไซต์ข่าวสารเรื่องผลิตภัณฑ์ของวงการฟุตบอลเอามาโชว์เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพียงแต่ภาพชุดล่าสุดของ 101 เกรทโกลส์ มันดูใช้สีชมพูที่ไม่เข้มเท่าอันของ ฟุตตี้ เฮดไลน์ส
กูร์กตัวส์ จะหมดสัญญากับทีมหลังจบฤดูกาลหน้า และจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่มีการต่อสัญญากันเลย ทำให้อนาคตของเขาเป็นที่พูดถึงอย่างหนัก ขณะที่ เรอัล ก็กำลังต้องการนายด่านฝีมือดีไปร่วมทัพเพื่อทำให้ทีมแกร่งขึ้น หลังจากฤดูกาลนี้ “ราชันชุดขาว” ฟอร์มไม่ดีเท่าไหร่ในลีกทั้งที่ซีซั่นก่อนคว้าแชมป์ลีกมาครองได้
มือกาวชาวเบลเยียมให้สัมภาษณ์กับ ลอนดอน อีฟนิ่ง สแตนดาร์ด สื่อท้องถิ่นของเมืองผู้ดีว่า “ผมมุ่งมั่นกับการเล่นให้ เชลซี ผมมีสัญญากับทีมจนถึงปีหน้า และจะอยู่ที่นี่ต่อไป ผมจะทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อมัน (สัญญาฉบับใหม่) จริงอยู่ว่าตอนนี้มันยังไม่มีการต่อสัญญากัน แต่ผมไม่คิดว่าตอนนี้มันเป็นเวลาที่ดีที่จะทำเรื่องนั้น (เซ็นสัญญาฉบับใหม่) ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องดีกว่าที่จะรอจนกว่าจะจบฤดูกาลนี้ สิ่งเดียวที่ผมพูดได้ก็คือผมมุ่งมั่นกับการเล่นให้ เชลซี และฤดูกาลหน้าผมก็จะยังมุ่งมั่นกับการเล่นให้ทีมเหมือนเดิม”
“ผมไม่มีอะไรที่จะพูดนอกเหนือไปจากนี้ มันเป็นเรื่องง่ายที่คนอื่นๆ จะพูดบางอย่างเมื่อคุณเหลือสัญญาแค่ 1 ปี ซึ่งผมก็หงุดหงิดกับเรื่องนี้นิดๆ เพราะมันกลายเป็นประเด็นที่คนพูดถึงกัน และผู้คนก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะมาก แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ควรให้ความสำคัญในตอนนี้คือการเก็บชัยชนะในลีกให้ได้เพื่อที่จะติดท็อปโฟร์, กลับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า และผ่านเข้ารอบต่อไปใน เอฟเอ คัพ ให้ได้ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ทั้งในฐานะกลุ่ม และในฐานะตัวผมเอง” กูร์กตัวส์ ระบุ
สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
แมนฯ ยูไนเต็ดของ โชเซ่ มูรินโญ่ พาทีมเข้ารอบนี้ หลังบุกไปชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 2-0 ก่อนแพ้เซบีย่า 1-2 ในเกมยุโรปล่าสุด เป็นการแพ้นัดแรกในรอบ 6 เกม ขณะที่ ไบรท์ตัน ผ่านโคเวนทรีเข้ารอบนี้มาได้ ส่วนเกมล่าสุดในลีกบุกไปพ่ายเอฟเวอร์ตัน 0-2
โดยเกมนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ดร็อปทั้ง อเล็กซิส ซานเชซ และปอล ป็อกบาไว้ข้างสนาม โดยแนวรุกส่ง ฆวน มาต้า, เจสซี่ ลินการ์ด, และอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ประสานงานกับ โรเมลู ลูกากู ที่ยืนเป็นหน้าเป้า
ส่วนทางฝั่งของ คริส ฮิวจ์ตัน นายใหญ่ “นกนางนวล” วาง ดาวี่ พรอพเพอร์ และปาสกาล โกรสส์ ปั้นเกมหลังแนวรุกทั้ง เยอร์เก้น โลกาเดีย, เลโอนาร์โด้ อูยัว และ โซลลี่ มาร์ช
เกมครึ่งแรกเล่นกันค่อนข้างลำบาก ด้วยสภาพสนามที่มีหิมะโปรยตลอดทั้งเกม แม้จะมีโอกาสยิง นาที 4 จาก มาร์กซิยาล และนาที 11 จากจังหวะที่ วาเลนเซีย ครอสไปเสาแรกให้ ลูกากู วอลเลย์แต่บอลก็ยังไม่เข้ากรอบ
นาที 29 แมนยู พลาดโอกาสขึ้นนำอีกหน มาร์กซิยาล ทำชิ่งกับ มาต้า ก่อนจังหวะสุดท้ายแนวรุกชาวสเปนจะยิงไปติดแข้งไบรท์ตันออกหลังไป และจากจังหวะเตะมุม มาต้า เปิดมาเสาแรกบอลชุลมุนมาเข้าทาง สมอลลิ่ง ยิงไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย
นาที 32 ทีมเยือนมีโอกาสยิงเข้ากรอบเป็นหนแรกบ้าง จากจังหวะที่ ลูอิส ดังค์ เอาชนะแม็คโทมิเนย์กลางอากาศทะยานโขกเต็มหัวแต่บอลก็ไม่ผ่านมือ โรเมโร่ พุ่งปัดออกไป
จนแล้วจนรอด หลังบดอยู่นาน นาที 36 “ปีศาจแดง” ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 บอลเริ่มจาก ชอว์ ทางซ้ายหักคืนมาให้ มาติช เปิดด้วยซ้ายเข้าไปในกรอบ 6 หลาให้ ลูกากู ที่หนีตัวประกบขึ้นโขกตุงตาข่าย เป็นประตูที่ 4 ใน 5 เกมล่าสุดของดาวยิงทีมชาติเบลเยียม
จบครึ่งแรก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำ ไบรท์ตัน 1-0
กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง ผีแดงของ มูรินโญ่ เปลี่ยนตัวคนแรกถอดเอา ลุค ชอว์ ออกแล้วส่ง แอชลี่ย์ ยัง ลงไปเล่นแทน
นาที 52 ไบรท์ตัน ที่ครึ่งหลังแก้เกมมาดีขึ้น มีโอกาสได้ลุ้นตีเสมอจากจังหวะที่ เลโอนาร์โด้ อูยัว พักบอลให้ โลกาเดีย ซัดเต็มข้อแต่บอลยังพุ่งไปเข้ามือ โรเมโร่
ถัดมาอีก 5 นาที แฟนปีศาจแดงมีเสียวอีก โลกาเดีย ได้ซัดด้วยซ้าย 20 หลาเต็มแรงแต่บอลก็ยังไปโดน โรเมโร่ พุ่งปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด
เข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้าย เจ้าถิ่นเกมรุกยังไม่ดีขึ้น ทำให้ มูรินโญ่ ต้องแก้แท็คติกเปลี่ยนเอา มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงไปเล่นแทน ฆวน มาต้า ที่เล่นไม่ออกในครึ่งหลัง
กลายเป็นโอกาสยิงเข้ากรอบหนแรกในครึ่งหลังของเจ้าถิ่น ที่นำห่าง 2-0 ในนาที 84 จากจังหวะที่ แอชลี่ย์ ยัง เปิดฟรีคิกนอกกรอบมาให้ เนมานย่า มาติช โขกสวนตัว ทิม ครูล เข้าไป
จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรังเอาชนะ ไบรท์ตัน 2-0 ผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศสำเร็จ
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : เซร์คิโอ โรเมโร่ – อันโตนิโอ วาเลนเซีย, คริส สมอลลิ่ง, เอริก ไบยี่, ลุค ชอว์ – เนมานย่า มาติช, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ – ฆวน มาต้า, เจสซี่ ลินการ์ด, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล – โรเมลู ลูกากู
ผู้จัดการทีม : โชเซ่ มูรินโญ่
ไบรท์ตัน (4-3-3) : ทิม ครูล – เอเซเกล เชล็อตโต้, เชน ดัฟฟี่, ลูอิส ดังค์, มาร์คุส ซุตต์เนอร์ – เบราม คายัล, ดาวี่ พรอพเพอร์ มิ,ปาสกาล โกรสส์ – เยอร์เก้น โลกาเดีย, เลโอนาร์โด้ อูยัว, โซลลี่ มาร์ช
ผู้จัดการทีม : คริส ฮิวจ์ตัน
ผู้ตัดสิน : อังเดร มาริเนอร์
ที่มา : [Siamsport]
สนาม : สต๊าด มัตมุต-อัตล็องติ๊ก
บอร์กโดซ์ จัด มัลค่อม, กาเอต็อง ลาบอร์กเด้ และ มาร์ติน เบรธเวต เป็น 3 ประสานในแดนหน้า
ขณะที่ แรนส์ วางใจ แบงฌาแม็ง บูริโฌด์, วาห์บี คาซรี่ และ อิสไมล่า ซาร์ ปั้นเกมรุกข้างหลัง ดิยาฟรา ซาโก้
เริ่มเกมไปได้ 9 นาที เจ้าบ้านทักทายก่อนจากจังหวะของ มัลค่อม ฉวยโอกาสที่ รามี่ เบนเซไบนี่ ทำเสียบอล ก่อนกึ่งยิงกึ่งผ่านหลุดหน้าปากประตูออกไป
4 นาทีต่อมา บอร์กโดซ์ เสียโควตาเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง มาร์ติน เบรธเวต เจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว นิโกล่าส์ เดอ เปรวิลล์ ลงไปแทน
จากนั้น โอกาสยิงประตูแทบไม่มี ก่อน จบ 45 นาทีแรกไปแบบจืดชืด 0-0
กลับมาต่อครึ่งหลัง 4 นาที แรนส์ บุกนำ 1-0 วาห์บี คาซรี่ ลากจากซ้ายตัดเข้ากลางก่อนสับไกยิงเรียด เบอนัวต์ กอสติล พุ่งปัดชนเสากลิ้งหลุนๆ อยู่หน้าประตู อิสไมล่า ซาร์ พุ่งเข้าไปซ้ำจมก้นตาข่าย
นาที 50 เจ้าบ้านลุ้นตีเสมอ ยุสซุฟ ซาบาลี่ ได้โอกาสวอลเล่ย์เต็มข้อหลุดกรอบไปไม่ไกล
ผ่านมาจนถึง 4 นาทีสุดท้าย ทีมเยือนทิ้งห่าง 2-0 โยอันน์ กูร์กกุฟฟ์ ตัวสำรอง เกี่ยวบอลในเขตโทษฝั่งขวามาเข้าซ้ายแล้วตะบันเสียบเสาไกล
ช่วงเวลาที่เหลือ ไม่มีประตูเพิ่ม แรนส์ บุกทุบ บอร์กโดซ์ 2-0
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
บอร์กโดซ์ : เบอนัวต์ กอสติล, ยุสซุฟ ซาบาลี่, ปาโบล, ฌูลส์ กุนเด้, มักซิม ปุนเฌ่, ลูคัส เลราเกอร์, ยาโรสลาฟ พลาซิล (ยูนุสส์ ซ็องกาเร่ น.59), ซูอาลิโอ เมอิเต้, มัลค่อม, กาเอต็อง ลาบอร์กเด้ (ฟร็องซัวส์ กามาโน่ น.59), มาร์ติน เบรธเวต (นิโกล่าส์ เดอ เปรวิลล์ น.13)
แรนส์ : โทมัส คูเบ็ค, โรแม็ง ด็องเซ่, เฌเรมี่ เฌแล็ง, ยอริส กนาญง, รามี่ เบนเซไบนี่ (ลูโดวิก บาล น.70), แบงฌาแม็ง อองเดร (โยอันน์ กูร์กกุฟฟ์ น.85), แซนยิน เพอร์ซิช, แบงฌาแม็ง บูริโฌด์, วาห์บี คาซรี่, อิสไมล่า ซาร์, ดิยาฟรา ซาโก้ (เจมส์ เลอา ซิลิกี้ น.77)
ที่มา : [Siamsport]
วัตฟอร์ดพ่ายให้ลิเวอร์พูล 5-0 โดยซาล่าห์ทำ 4 ประตูและอีกลูกเป็นผลงานของโรแบร์โต้ ฟีร์เมียโน่
นั่นทำให้ลิเวอร์พูลแซงขึ้นรั้งอันดับที่ 3 ของตารางและทำแต้มทิ้งห่างเชลซีทีมในอันดับที่ 5 ซึ่งมีเกมในมืออีก 1 นัดอยู่ 7 แต้ม
ฟอร์มการเล่นที่สุดยอดดังกล่าวของลิเวอร์พูลที่จะเผชิญหน้ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในรอบก่อนรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกก็ได้รับคำชื่นชมจากการ์เซีย
“เรารู้ว่าเรามีเกมที่ยากและเป็นเกมที่เรียกร้องสูงมาก” การ์เซียกล่าว
“มันเป็นอีกครั้งที่เราเสียประตูเร็วเหมือนอย่างเกมที่แล้วกับอาร์เซน่อล มันเป็นสถานการณ์เดียวกัน”
“จากจุดนั้น มันยากมากๆ เรารู้ว่าเราเล่นกับหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรปในตอนนี้”
“ผมคิดว่าพวกเขาเหนือกว่าเรามาก เราพยายามเล่นกันเป็นทีม”
“เรารู้ว่าพวกเขามีนักเตะที่ดีมากๆและมีทีมที่ดีมากๆด้วย”
“เราพยายามมองหาตัวเลือกที่ดีที่สุด เราต้องเล่นในระดับสูงสุดเท่าที่เราจะทำได้ทว่ามันไม่ใช่ฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของเรา”
ต่อซาล่าห์ที่ยิง 4 ประตู การ์เซียก็กล่าวต่อไปว่า “เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในตอนนี้ ผมแสดงความยินดีกับเขาสำหรับช่วงเวลานี้”
“เรารู้ว่าเราเล่นกับหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรปในตอนนี้”
ปีเตอร์ เช็คยังคงเหลือสัญญาในถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมอีกปี ขณะที่ดาวิด ออสปิน่าก็มีสัญญากับสโมสรถึงซัมเมอร์ปี 2019
อาร์เซน่อลกำลังมองหาตัวแทนในระยะยาวของเช็คและมีหลายคนที่ตกเป็นข่าวไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ เลโน่ของเลเวอร์คูเซ่นและแจ็ค บัตแลนด์จากสโต๊ค ซิตี้
อย่างไรก็ตามตามการรายงานข่าวจาก อาส สื่อชื่อดังแดนกระทิงดุระบุว่าโอบรัคเป็นเป้าหมายลำดับแรกของอาร์เซน่อลและสโมสรพร้อมจ่ายค่าฉีกสัญญา 100 ล้านยูโร
ราอูล ซานเญอีผู้บริหารของอาร์เซน่อลตั้งใจดึงตัวโอบรัคมาจากแอตเลติโก มาดริด
ทว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันจากเยอร์เก้น คล็อปป์ที่มองหาผู้รักษาประตูคนใหม่ไปแทนที่ญอริส คาริอุสและซิมง มิโญเล่ต์ที่ลิเวอร์พูล
ปารีส แซงต์-แชร์กแมงเองก็มองหาผู้รักษาประตูคนใหม่ในช่วงซัมเมอร์นี้และโอบรัคก็อยู่ในสายตาของพวกเขาเช่นกัน
1. นักเตะแอฟริกันที่ยิงได้มากสุดใน 1 ฤดูกาล พรีเมียร์ลีก
ดิดิเยร์ ดร็อกบา คือเจ้าของสถิตินี้ที่ 29 ประตูและนี่น่าจะเป็นสถิติที่ ซาลาห์ ทำลายได้ง่ายที่สุดแล้ว
2. นักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูได้มากสุดใน 1 ฤดูกาล
แม้จะยังห่างจาก เอียน รัช ที่ทำไว้ถึง 47 ประตูอยู่ 13 ประตู แต่ ซาลาห์ เองก็ยังอยู่ในสองรายการทั้ง ยูฟ่าแชมเปียนลีก และ พรีเมียร์ลีก ด้วย
3. ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก 2017-18
หลังจาก แฮร์รี เคน เจ็บไปเส้นทางสู่ดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก ของ ซาลาห์ ก็สดใส และตอนนี้ก็นำไปถึง 4 ประตูแล้ว
4. ดาวซัลโว ท็อป 5 ลีกหลักยุโรป 2017-18
ซาลาห์ คือผู้นำดาวซัลโวในท็อป 5 ลีกหลักยุโรปในฤดูกาลนี้ ขณะที่ในลีกอื่นๆ อย่าง เซเรีย อา, ลาลีกา และ ลีกเอิง ผู้ยิงสูงสุดก็อยู่ที่ 24 ประตูตามมา 4 ตุงด้วยกัน
5. ยิงได้มากสุดใน 1 ฤดูกาล พรีเมียร์ลีก
แอนดี้ โคล และ อลัน เชียร์เรอร์ คือเจ้าของสถิตินี้ที่ 34 ประตูใน 1 ฤดูกาล ขณะที่ ซาลาห์ ก็ยิงไปได้แล้วถึง 28 ประตูพร้อมยังเหลืออีก 6 เกมให้เล่นด้วย
สนาม : แอนฟิลด์
ลิเวอร์พูล ที่กำลังไล่ล่าตั๋วชปล. ยังวาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ เป็นสามแนวรุก ด้าน วัตฟอร์ด ส่ง ทรอย ดีนี่ย์ ลงล่าตาข่าย
โดยก่อนเกมผู้เล่นทั้งสองทีมยืนไว้อาลัยให้ จอห์น มอลินิวส์ อดีตนักเตะลิเวอร์พูลยุค บิลล์ แชงค์ลีย์ ที่เสียชีวิต
เริ่มเกมมาแค่ 4 นาที เจ้าถิ่นขึ้นนำเร็ว 1-0 จากจังหวะสวนกลับ ซาดิโอ มาเน่ จ่ายไปให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลากเข้าเขตโทษฝั่งขวาก่อนแตะหนี มิเกล บริโตส ไปแปมุมแคบผ่าน โอเรสติส คาร์เนซิส เข้าประตูไป
จากนั้น รูปเกมก็เน้นสู้กันที่กลางสนาม โดยทีมเยือนก็ตั้งรับรอสวนกลับ และมีโอกาสในนาทีที่ 37 เมื่อ โรเบร์โต้ เปเรยร่า เปิดจากฝั่งขวาไปให้ ริชาร์ลิสัน เทกตัวโหม่งไปเข้ามือ ลอริส คาริอุส
อีก 2 นาทีถัดมา หงส์แดงเกือบหนีห่างจากลูกสวนกลับ ซาลาห์ ทะลุขึ้นมาก่อนปาดไปให้ ฟีร์มีโน่ ดึงหลอกแนวรับทีมเยือนแล้วกดด้วยซ้าย แต่ คาร์เนซิส ก็ยังปัดออกหลังได้เยี่ยม
นาที 43 เจ้าบ้านมาหนีห่าง 2-0 สมใจ เมื่อ มาเน่ จ่ายออกซ้ายให้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เปิดเข้ากลางให้ ซาลาห์ สอดมาชาร์จตุงตาข่ายไม่เหลือ และหมดครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้
กลับมาเล่นในครึ่งหลัง นาทีที่ 49 หงส์แดงหนีห่าง 3-0 เมื่อ ซาลาห์ หลุดมาทางกราบขวาแล้วเปิดยัดเข้ากลางให้ ฟีร์มีโน่ ไขว้ยิงเข้าประตูไปอย่างเหนือชั้น
นาทีที่ 59 วัตฟอร์ด มีโอกาสตีไข่แตก จากฟรีคิกมุมเขตโทษฝั่งซ้าย โรเบร์โต้ เปเรยร่า หลอกยิงเลย บอลพุ่งชนคานกระดอนออกหลังไป
ลิเวอร์พูล ไม่เพลาเครื่องมายิงหนี 4-0 ในนาทีที่ 77 เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ ลุยทะลุเข้าเขตโทษฝั่งขวาแล้วไหลไปให้ ซาลาห์ ดึงหลอกสามแนวรับทีมเยือนเหมือนจะเสียจังหวะไปแล้ว แต่ก็ยังหาเหลี่ยมยิงด้วยซ้ายเข้าประตูไปจนได้เป็นแฮตทริกของเจ้าตัวในเกมนี้
ไม่พอแค่นั้น นาทีที่ 85 เจ้าถิ่นมาตอกฝาโลง เมื่อ ซาลาห์ จ่ายตามช่องให้ แดนนี่ อิงก์ส หลุดไปล็อกเข้าขวาแล้วยิงเน้นๆ แต่ติดเซฟ คาร์เนซิส ทว่าเข้าทาง ซาลาห์ ซ้ำดาบสองโล่งๆ เข้าไปไม่พลาด จบเกม ลิเวอร์พูล ถล่ม วัตฟอร์ด 5-0 แซง สเปอร์ส ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ตามหลัง “ปีศาจแดง” ที่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัดแค่ 2 แต้ม
รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : ลอริส คาริอุส, โจ โกเมซ, โฌแอล มาติป, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, เอ็มเร่ ชาน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่
สำรอง : ซิมง มิโญเลต์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, รักนาร์ คลาวาน, อัลเบร์โต้ โมเรโน่, เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, แดนนี่ อิงก์ส
วัตฟอร์ด : โอเรสติส คาร์เนซิส, มิเกล บริโตส, เซบาสเตียน พรอเดิ้ล, อาเดรียน มาริอัปป้า, โฮเซ่ โฮเลบาส, อับดูลาย ดูกูเร่, เอเตียน กาปู, กีโก้ เฟเมเนีย, ริชาร์ลิสัน, โรเบร์โต้ เปเรยร่า, ทรอย ดีนี่ย์
สำรอง : เอเรลโญ่ โกเมส, ดารีล ยันมาต, เคร็ก แคธคาร์ต, วิลล์ ฮิวจ์ส, อันเดร การ์รีโย่, สเตฟาโน่ โอกาก้า, อันเดร เกรย์
ผู้ตัดสิน : แอนโธนี่ เทย์เลอร์
ที่มา : [Siamsport]
ลุยจิ ดิ เบียโจ้ กุนซือขัดตาทัพทีมชาติอิตาลี เรียก แพทริค คูโตรเน กองหน้าอนาคตไกลของ เอซี มิลาน เข้ามาติดทีมเป็นครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องกับ อังกฤษ และ อาร์เจนตินา
ก่อนหน้านี้นายใหญ่อัซซูรีออกมาบอกเป็นนัยว่าจะเรียก มาริโอ บาโลเตลลี เข้ามาติด หลังลงทุนเดินทางไปดูฟอร์มของนักเตะถึงนีซ แต่สุดท้ายกลับทำเซอร์ไพรส์เรียกหอกดาวรุ่งจากปีศาจแดงดำเข้ามาติดแทน
นอกจากคูโตรเนแล้ว เฟเดริโก้ เคียซา บุตรชายของตำนานกองหน้าชาวอิตาเลียนอย่าง เอ็นริโก้ เคียซา คืออีกคนที่มีชื่อติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรก หลังจากทำผลงานได้ดีกับฟิออเรนตินา
ขณะเดียวกัน ดิ เบียโจ้ ยังตัดสินใจเรียก จานลุยจิ บุฟฟอน นายด่านตัวเก๋าจากยูเวนตุสเข้ามาด้วย แม้ว่านักเตะจะประกาศอำลาทีมชาติไปแล้วหลังตกรอบบอลโลกเมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็ตาม
ผู้รักษาประตู: บุฟฟอน, ดอนนารุมมา, เปริน
กองหลัง: โบนุชชี, คิเอลลินี, ดาร์เมียน, เด ชิโญ, เฟอร์รารี, ฟลอเรนซี, รูกานี, สปินัซโซลา, ซัปปาคอสต้า
กองกลาง: โบนาเวนตูรา, คริสตันเด้, กาญาร์ดินี, จอร์จินโญ, ปาโรโล, เปเญกรินี, แวร์รัตติ, คันเดรวา, เคียซา
กองหน้า: เบล็อตติ, คูโตรเน, อิมโมบิเล, อินซิเญ, เวอร์ดี้