ซามี่ เคดิร่า มิดฟิลด์ตัวรับทีมชาติเยอรมนี ได้รับความไว้วางใจให้เป็นกัปตันทีมอินทรีเหล็กก่อนทำแอสซิสต์ให้ โธมัส มุลเลอร์ พังประตูตีเสมอได้สำเร็จจากท้ายครึ่งแรก โดน ติอาโก้ อันคันทาร่า เข้าสกัดจนร่วงไปกองกับพื้นพร้อมแสดงอาการบาดเจ็บขาขวาจนเจ้าหน้าที่ภาคสนามต้องเข้ามาปฐมพยาบาลแต่เจ้าตัวเล่นต่อไม่ไหวโดนเปลี่ยนตัวออกในนาที 52
ขณะที่ผลการตรวจเบื้องต้นต้องรอดูว่าอาการของมิดฟิลด์อินทรีเหล็กรุนแรงแค่ไหนโดยต้องสแกนอย่างละเอียดอีกครั้งภายใน 48 ชั่วโมงข้างหน้า
นับเป็นเคราะห์ซ้ำสำหรับ ยูเวนตุส ที่ต้องลุ้น เคดิร่า ไม่ให้เจ็บหนักเพราะก่อนหน้านั้นพึ่งหมดสิทธิ์ใช้งาน จอร์โจ้ คิเอลลินี่ หลังเจ็บจากเกมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จนต้องขอถอนตัวออกจากทีมชาติและยังไม่ชัวร์ว่าจะหายทันเกมนัดกแรกที่พบกับ ราชันชุดขาว ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ วันที่ 3 เมษายนนี้
ซึ่ง เล็กซิส ซานเชซ นั้นประสบปัญหาในการปรับตัวกับต้นสังกัดใหม่ หลังพึ่งทำไปเพียงประตูเดียวเท่านั้น โดย รูเอด้า กล่าวว่า “มันคือช่วงเปลี่ยนผ่านอันยากลำบากจากอาร์เซน่อลสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
“เขาเศร้านะเพราะเขาอยากแสดงฝีเท้าตัวเองออกมา ยังดีที่เขามากับเราด้วยอารมณ์ที่ดีเยี่ยม เขารู้ว่าเพื่อนร่วมทีมรักและยอมรับเขามากๆ”
“ตอนกุมภาฯเขาขอกับผมว่าจะอยู่สโมสรต่อเพื่อปรับตัวแต่ความมุ่งมั่นที่มีต่อทีมชาติทำให้เขามากับเรา เราหวังว่าจะช่วยเขาได้ไม่มากก็น้อย” เรนัลโด้ รูเอด้า ทิ้งท้าย
แกเร็ธ เซาธ์เกท นายใหญ่วัย 47 ปี ทีมชาติอังกฤษ ยังไม่ตัดสินใจว่าแข้งคนไหนสมควรได้ไปลุยศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศรัสเชีย แต่ดูเหมือนนักเตะไม่มีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ประการใด หลังเหลือเวลาอีก 3 เดือนกว่าๆ
“แน่นอนผมย่อมประทับใจจริงๆกับคุณภาพฟุตบอลทีมชาติของเรา”
“ผมรู้ว่าเราทุกคนต่างก็มีฝีเท้าที่ดีและพลังงานเปี่ยมล้นอยู่ในทีมชุดนี้ แต่ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือการร่วมแรงร่วมใจกันเดินเกมรุกและพยายามพาบอลป้วนเปี้ยนหน้าเขตโทษคู่แข่ง”
“แม้หลายๆครั้งเราต้องการคุณภาพมากกว่านี้ยามเมื่อถึงพื้นที่สุดท้ายในกรอบเขตโทษ แต่ผมคิดว่าเราคู่ควรต่อชัยชนะ เพราะเราเล่นได้คุณภาพมากกว่า ที่สำคัญก็คือผมประทับใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเหล่านักเตะนี่แหละ” เซาธ์เกทกล่าว
โดย ในฤดูกาลนี้นั้น ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จะอยู่ในเส้นทางเป็นเเชมป์เเบบไร้พ่ายของลีกเอิง แต่ถ้วยยุโรปนั้นพวกเขาตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ซึ่ง อูไน เอเมรี่ นั้นโดนวิพากวิจารณ์เรื่อง แท็ตติคที่เข้าใช้ทั้งสองเกม ในการเจอ เรอัล มาดริด และ อังเคล ดิ มาเรีย ได้ออกมาบอก่อนหน้านี้ว่า ทางสโมสรจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในไม่ช้า
ทั้งนี้ โธมัส มูนิเยร์ กล่าวว่า “ผมไม่ใช่เด็กอายุ 18 ปี ผมอายุ 26 ปี ผมต้องอ้างสิทธิ์ของตัวเองกับสโมสรบ้าง”
“ผมต้องการแสดงให้เห็นว่าผมทำอะไรได้ในตำแหน่งของผม ผมกำลังรอเพราะมันมีหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงเช่นโค้ชนะ”
“ผมอาจได้เล่นมากขึ้น ผมจะต้องใช้โอกาสนั้น ผมมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเมื่อ 2 ปีก่อนที่ผ่านมา”
“ผมมองอนาคตอย่างไม่มีความกดดัน ผมคิดว่าผมพัฒนาขึ้นในเกมการเล่นของผมและรวมถึงด้านจิตใจด้วยนับตั้งแต่ย้ายมาเปแอสเชนี้“
ซึ่งเมื่อคืน เมซุต โอซิล นั้นได้เล่นแบบเต็มเกมในนัดที่เจอกับ สเปน ก่อนทั้งสองทีมจะทำได้แค่เสมอกันไป 1-1 จากประตูของ โรดริโก้ยิงให้สเปนนำไปก่อน เเละ ลเลอร์ก็มาตามตีเสมอให้เยอรมันได้สำเร็จจากลูกยิงไกล
อย่างไรก็ตาม โอซิล เเละ มุลเลอร์ ไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับเพื่อนร่วมทีม เนื่องจากทั้งสองคนนั้นมีอาการบาดเจ็บรบกวน เเต่สมาคมฟุตบอลเยอรมันก็ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ โอซิล มีคิวที่จะพา อาร์เซน่อล เปิดบ้านรับการมาเยือนของ โต๊ค ซิตี้ในวันที่ 1 เมษายน นี้
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม (แมนเชสเตอร์, อังกฤษ)
“ขุนพลฟ้าขาว” อาร์เจนตินา ของ ฮอร์เก้ ซามเปาลี ดีกรีรองแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 เริ่มเข้าที่เข้าทางหลังจากคว้าตั๋วฟุตบอลโลกที่รัสเซียได้สำเร็จ
เกมนี้ ซามเปาลี ตัดสินใจพัก ลิโอเนล เมสซี่ ที่ไม่ฟิต และแกนหลักหลายๆคน เป็นการถือโอกาสทดลองผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ผู้รักษาประตู ใช้ วิลลี่ กาบาเนโร่ อดีตผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปัจจุุบันเล่นให้เชลซี ที่ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก กองหลังใช้ ฟาบริซิโอ บุสโตส, นิโกลัส โอตาเมนดี้, เฟเดริโก้ ฟาซิโอ, นิโกลัส ตายาฟิโก้ แดนกลาง เป็น ลูกัส บีย่า, เลอันโดร ปาเรเดส, โจวานี่ โล เซลโซ่ สามประสานแดนหน้า ใช้ มานูเอล ลันซินี่, กอนซาโล่ อิกวาอิน และอังเคล ดิ มาเรีย
ทางด้าน “อัซซูรี่” ทีมชาติอิตาลี ดีกรีแชมป์โลก 4 สมัย คุมโดย เทรนเนอร์ชั่วคราวอย่าง ลุยจิ ดิ เบียโจ้ กำลังอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่ หลังครั้งนี้พลาดคว้าตั๋วไปลุยฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี
ทีมชุดนี้เรียก จานลุยจิ บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูจอมเก๋ากลับมาเล่นทีมชาติอีกครั้ง แผงหลังใช้ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, ดานิเอเล่ รูกานี่, มัตเตีย เด ชีโย่ แดนหลางเป็นหน้าที่ของ มาร์โก ปาราโล่, จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ และแดนหน้า เลือกใช้เฟเดริโก้ เคียซ่า, ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเย่
เริ่มครึ่งแรก นาทีที่ 5 อาร์เจนตินามีโอกาส จาก อังเคล ดิ มาเรีย ซัดไปติดเซฟของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ที่หวนกลับมาเล่นทีมชาติอีกครั้ง
นาทีที่ 17 อาร์เจนตินาเกือบได้โอกาสขึ้นนำจากจังหวะลูกเตะมุมที่เปิดโดย อังเคล ดิ มาเรีย ให้ นิโกลัส โอตาเมนดี้ โฉบขึ้นมาโหม่ง แต่ก็ถูกปฏิเสธโดย จานลุยจิ บุฟฟ่อนที่ต้องโชว์เซฟลูกยาก
นาทีที่ 39 เลอันโดร ปาเรเดส ตัดสินใจลองซัดไกล แต่ก็หลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย
ก่อนจบครึ่งแรก อาร์เจนตินา มาได้โอกาส 2 ครั้งติดๆจากจังหวะที่ อังเคล ดิ มาเรีย ไหลให้ นิโกลัส ตายาฟิโก้ แปเข้าไป แต่ก้ไม่ยังไม่ผ่านมือบุฟฟ่อนอยู่ดี ก่อนที่ ดิ มาเรีย คนเดิม จะจ่ายตัดหลังอย่างสวยให้ กอนซาโล่ อิกัวอิน หลุดเข้าไปดวลกับบุฟฟ่อน ในกรอบ 6 หลาแต่ไม่ฉีกหนีตัวบุฟฟ่อนเท่าไหร่ ทำให้พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย
ครึ่งเวลาแรก โอกาสเป็นของอาร์เจนตินาซะส่วนใหญ่ แต่ก็ยังไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้ ก่อนจะจบครึ่งแรกไปด้วย สกอร์ 0-0
มาเล่นกันต่อในครึ่งเวลาหลัง เริ่มเกมมาได้แค่สามนาที อิตาลี ได้โอกาสทองจาก ความผิดพลาดของอาร์เจนตินา ให้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ไหลมาให้ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ ยิงเหน่งๆ หน้าประตู หลุดกรอบไปอย่างไม่น่าเชื่อ
นาทีที่ 49 เป็นฝั่งของอาร์เจนตินาบ้างที่ฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ อิตาลี โดย อังเคล ดิ มาเรีย มีโอกาสโหม่ง แต่หลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย
นาทีที่ 56 อังเคล ดิ มาเรีย ลอง ซัดไกลดูบ้าง แต่ก็ไม่น่าหวาดเสียวอะไร บุฟฟ่อนรับได้อย่างสบายๆ
นาทีที่ 59 เป็นโอกาสทองของอิตาลีบ้าง ชิโร่ อิมโมบิเล่ หลุดขวาเ้ขาไป แล้วตวัดด้วยยิงเร็วด้วยซ้ายทันที แต่วิลลี่ กาบาเยโร่ ก็ยังมาบังไว้ได้ทัน
นาทีที่ 67 อิตาลีมาได้โอกาสอีกครั้งจากจังหวะที่ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปซัดประตู แต่กาบาเยโร่ ปัดทิ้งออกไปได้
นาทีที่ 72 ดีเอโก้ เปร็อตติ ที่ลงมาเป็นสำรอง ได้โอกาสยิงครั้งแรก พยายามซัดเข้าไปแต่กดไม่ลง บอลเลยเหินข้ามคานออกไป
อย่างไรก็ตาม อาร์เจนตินาที่ดูครึ่งหลังจะมีโอกาสน้อยกว่ามาได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 ในนาทีที่ 75 จากจังหวะที่ตัวสำรองอย่าง เอแวร์ บาเนก้า ทำชิ่งกับโจวานี่ โล เซลโซ่ หักข้อยิงผ่านตัว บุฟฟ่อนเข้าไปชนิดที่ได้แต่มอง
ยังไม่จบแค่นั้น ก่อนหมดเวลา 5 นาที กอนซาโล่ อิกัวอินลากมาแล้วดึงจังหวะ ก่อนไหลให้ มานูเอล ลันซินี่ ปั่นด้วยขวา เสียบมุมซ้ายเข้าไปอย่างสุดสวยให้อาร์เจนติน่าขึ้นนำ 2-0 เป็นประตูแรกของเจ้าตัวกับทีมชาติ
เวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้อีก จบเกม อาร์เจนติน่า เอาชนะ อิตาลี่ ไปได้ 2-0
รายชื่อนักเตะที่ลงสนาม
อิตาลี (4-3-3) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน – อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, ดานิเอเล่ รูกานี่, มัตเตีย เด ชีโย่ – มาร์โก ปาราโล่, จอร์จินโญ่, มาร์โก แวร์รัตติ – เฟเดริโก้ เคียซ่า, ชิโร่ อิมโมบิเล่, ลอเรนโซ่ อินซินเย่
เทรนเนอร์ : ลุยจิ ดิ เบียโจ้ (รักษาการ)
อาร์เจนตินา (4-3-3) : วิลลี่ กาบาเยโร่ – ฟาบริซิโอ บุสโตส, นิโกลัส โอตาเมนดี้, เฟเดริโก้ ฟาซิโอ, นิโกลัส ตายาฟิโก้ – ลูกัส บีย่า, เลอันโดร ปาเรเดส, โจวานี่ โล เซลโซ่ – มานูเอล ลันซินี่, กอนซาโล่ อิกวาอิน, อังเคล ดิ มาเรีย
เทรนเนอร์ : ฮอร์เก้ ซามเปาลี
สนาม : โอลิมปิสกี้ สตาดิโอน ลุซนิกิ, (มอสโก, รัสเซีย)
“ขุนพลหมีขาว” รัสเซีย ของ สตานิสลาฟ เชอร์เชซอฟ เตรียมความพร้อมในฐานะเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการเชิญอดีตแชมป์โลก 5 สมัย อย่าง บราซิล มาลับแข้งด้วย
เกมนี้ รัสเซีย ต้องขาด อเล็คซานเดอร์ โคโคริน ที่บาดเจ็บเอ็นไขว้หัวเข่าจากการรับใช้เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ 2 แนวรับที่เจ็บเข่าก่อนหน้าทั้ง วิคตอร์ วาซิน กับ จอร์จี้ ชิคิย่า
ในแดนกลางวาง อเล็คซานเดอร์ ซาเมดอฟ, โรมัน ซ็อบนิน, เดนิส กลูชาคอฟ, อเล็คซานเดอร์ โกโลวิน และ ดมิทรี คอมบารอฟ ช่วยกันขับเคลื่อนเกม พร้อมได้ อเล็คเซย์ มิรานชุค รับบทหน้าต่ำอยู่หลัง ฟิโอดอร์ สโมลอฟ กองหน้าตัวเป้า
ทางด้าน “แซมบ้า” ทีมชาติบราซิล ของ ติเต้ ลงอุ่นเครื่องกับ รัสเซีย แล้วจะพบกับ เยอรมัน ใน 4 วันให้หลัง
ทีมชุดนี้ไม่มี เนย์มาร์ กองหน้าที่ผ่าตัดกระดูกเท้าเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ส่วน อเล็กซ์ ซานโดร เพิ่งถอนตัวไปทั้งที่ถูกเรียกมาเสริมแทน ฟิลิเป้ ลุยส์ ทำให้ อิสไมลี่ แบ็กขวาจากชัคตาร์ โดเนตส์ค ถูกเรียกตัวเข้าแคมป์เป็นครั้งแรก
ห้องเครื่องของทีมส่ง เปาลินโญ่, คาเซมีโร่ และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ลงบงการเกม โดยสามประสานแดนหน้าวาง วิลเลี่ยน, กาเบรียล เชซุส และ ดั๊กลาส คอสต้า ล่าตาข่าย
ออกสตาร์ทครึ่งแรกมาได้แค่ 5 นาที บราซิล ทักทายก่อนเลย ดาเนียล อัลเวส จ่ายให้กับ กาเบรียล เชซุส ซัดด้วยขวาในกรอบเขตโทษไปติดเซฟของ อีกอร์ อคินเฟเยฟ นายทวารทีมชาติรัสเซีย
เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 18 แซมบ้า ได้โอกาสอีกครั้ง มาร์เซโล่ วิเอยร่า แบ็คซ้ายตัวเก๋าโยนให้กับ กาเบรียล เชซุส เทคตัวโหม่งในกรอบเขตโทษ แต่ไม่ผ่านมือของ อีกอร์ อคินเฟเยฟ
สิบนาทีต่อมา บราซิล มีโอกาสลุ้นต่อเนื่อง ดั๊กลาส คอสต้า จ่ายให้กับ วิลเลี่ยน ซัดด้วยขวาทางกรอบเขตโทษด้านขวาติดเซฟของ อคินเฟเยฟ อีกแล้ว
ผ่านมา 32 นาที รัสเซีย ได้โอกาสครั้งแรก เฟดอร์ สโมลอฟ จ่ายให้กับ อเล็คซานเดอร์ ซาเมดอฟ วางเท้ากดด้วยซ้ายจากนอกเขตโทษ แต่ อลิสซอน นายทวารบราซิล ปัดทิ้งออกหลังไปได้ทัน
สามนาทีให้หลัง ทัพหมีขาว ได้ลุ้นอีกครั้ง อเล็คเซย์ มิรานชุค เปิดต่อให้กับ โรมัน ซ็อบนิน กดด้วยขวาในกรอบเขตโทษ บอลหลุดเสาซ้ายไป
ก่อนหมดครึ่งแรกห้านาที พลพรรคแซมบ้า ทำเกมรุกมาทาง ดาเนียล อัลเวส เปิดให้ วิลเลี่ยน สับด้วยซ้ายติดเซฟของ อีกอร์ อคินเฟเยฟ นายด่านเจ้าบ้าน หมดครึ่งแรก เสมอกันอยู่ 0-0
มาเล่นกันต่อในครึ่งเวลาหลังได้แค่สองนาที เซเลเซา น่าจะได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ วิลเลี่ยน ปาดจากกราบขวาเข้ากลางให้ เปาลินโญ่ สอดมาแปด้วยซ้ายจากกลางกรอบเขตโทษติดขาของ อีกอร์ อคินเฟเยฟ นายทวารของเจ้าถิ่น อย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม บราซิล ที่บุกได้มากกว่า มาได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จนได้ในนาทีที่ 53 จากจังหวะที่ วิลเลี่ยน โยนจากกราบขวาให้ ติอาโก้ ซิลวา โหม่งกดลงพื้น อคินเฟเยฟ นายทวารรัสเซีย ปัดบอลมาเข้าทางของ ชูเอา มิรันด้า ปราการหลังที่เติมขึ้นมาสูง แปด้วยซ้ายจากทางกรอบเขตโทษด้านซ้าย จ่อๆเข้าประตูไป
หนึ่งชั่วโมงของเกมการแข่งขัน คูตินโญ่ กระชากมาทางกรอบเขตโทษด้านขวายิงไปติดบอลมาเข้าทางของ เปาลินโญ่ แปด้วยซ้ายจ่อๆ ทว่าโดน อคินเฟเยฟ นายทวารรัสเซีย ปัดไว้ได้
กระนั้นก็ดีนาทีที่ 62 แซมบ้า มาได้จุดโทษจากจังหวะที่ อเล็คซานเดอร์ โกโลวิน ไปเหนี่ยวไหล่ของ เปาลินโญ่ ล้มลงไปในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินเป่าทันที ก่อนที่ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ รับหน้าที่สังหารด้วยขวาเข้าไปไม่เหลือให้ บราซิล นำห่าง 2-0
ถัดมาสี่นาที บราซิล นำขาด 3-0 แล้ว เมื่อ วิลเลี่ยน โยนจากกราบขวาให้ เปาลินโญ่ โหม่งจ่อๆเข้าประตูไปง่ายๆ
ล่วงเลยมานาที 70 รัสเซีย ได้โอกาส เมื่อ มิรานชุค จ่ายให้กับ ดมิทรี คอมบารอฟ กดด้วยขวาจากทางกรอบเขตโทษด้านซ้าย ยังติดเซฟของอลิสซอน นายทวารบราซิล
เวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้อีก จบเกม บราซิล ถล่ม รัสเซีย ไปได้สวยงาม 3-0
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
รัสเซีย : อีกอร์ อคินเฟเยฟ – วลาดิมีร์ กรานัต, อิลิย่า คูเตปอฟ, เฟดอร์ คุดเรียชอฟ – อเล็คซานเดอร์ ซาเมดอฟ (อีกอร์ สโมลนิคอฟ น.80), โรมัน ซ็อบนิน, เดนิส กลูชาคอฟ, อเล็คซานเดอร์ โกโลวิน, ดมิทรี คอมบารอฟ (ยูริ ซีร์คอฟ น.76) – อเล็คเซย์ มิรานชุค (อลัน ซาโกเยฟ น.55) – ฟิโอดอร์ สโมลอฟ (แอนตัน ซาโบล็อตนี่ น.71)
บราซิล : อลิสซอน – ดาเนียล อัลเวส, ชูเอา มิรันด้า, ติอาโก้ ซิลวา, มาร์เชโล่ วิเอยร่า – เปาลินโญ่ (เรนาโต้ ออกุสโต้ น.71), คาเซมีโร่, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (เฟร็ด น.79) – วิลเลี่ยน (ไทซอน น.79), กาเบรียล เชซุส (โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ น.65), ดั๊กลาส คอสต้า
ผู้ตัดสิน : อเล็กเซ คูลบาคอฟ (เบลารุส)
สนาม : สตาดิโอน เลตซีกรุนด์, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (สนามกลาง)
เปิดฉากครึ่งแรก นาที 7 กลายเป็นทัพอียิปต์ที่ได้ทักทายก่อนเลย บอลมาถึง อัลดุลลาห์ เอล ซาอิด ได้หวดด้วยขวาแต่บอลยังไม่ผ่าน เบโต้ นายด่านเจ้าถิ่นเซฟไว้ได้
นาที 25 โปรตุเกส น่าจะได้ประตูขึ้นนำ หลังแนวรับอียิปต์เจตนาส่งบอลคืนหลังให้ เอล เชนาวี รับ ผู้ตัดสินเป่าให้ลูกโทษ 2 จังหวะในกรอบ และเป็น โรนัลโด้ วิ่งมาซัดกลางประตูเต็มข้อบอลพุ่งทะลุกำแพงจะเข้าอยู่แล้วแต่ไปติดขานายด่านทัพมัมมี่
ท้ายเกม นาที 41 โรลันโด้ แนวรับเจ้าถิ่นโขกบอลซุกก้นตาข่ายไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินเป่าไม่ให้ประตู หลังได้รับสัญญาณธงว่าเป็นลูกล้ำหน้า ก่อนที่สกอร์จะจบ 0-0 ในครึ่งเวลาแรก
ครึ่งหลัง นาที 57 กลายเป็นอียิปต์ที่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 เอล ซาอิด ไหลบอลเข้ากลางให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ วิ่งมาอัดด้วยซ้ายไม่จับบอลพุ่งเบียดเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบขาด
นาที 72 ทัพฝอยทองได้ลุ้นบ้างบอลโยนยาวมาเสาสองถึง ริคาร์โด้ กวาเรสม่า อัดด้วยขวาเต็มแรงแต่บอลยังไม่ห่างตัว อัล เชนาวี่ รับเข้ามือไว้ได้
เกมทำท่าว่าจะจบด้วยความพ่ายแพ้ของทัพฝอยทอง แต่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาที 90+3 กวาเรสม่า เปิดบอลโค้งมาเข้าหัว โรนัลโด้ กัปตันทีมโขกตีเสมอ 1-1 สำเร็จ
และความดราม่ามาบังเกิดอีกนาทีเดียวถัดมา เมื่อ กวาเรสม่า คนเดิมหยอดฟรีคิกทางด้านขวามาให้ แข้งบัลลงดอร์ล่าสุดโขกประตูที่สองในเกมช่วยให้ โปรตุเกส พลิกแซงขึ้นนำ 2-1 แม้แข้งอียิปต์จะประท้วงก็ไม่เป็นผล ผู้ตัดสินชี้ให้เป็นประตูก่อนไม่กี่วินาทีจะเป่าจบการแข่งขัน เป็นอันว่า โปรตุเกส ซัดสองเม็ดแซงเข้าป้ายคว้าชัยเหนือ อียิปต์ช่วงทดเวลาเจ็บแบบสุดมันส์ 2-1
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
โปรตุเกส (4-4-2) : เบโต้ – เซดริค, โรลันโด้, บรูโน่ อัลเวส, ราฟาเอล เกร์เรยโร่ – ชูเอา มาริโอ, รูเบน เนเวส, ชูเอา มูตินโญ่, แบร์นาโด้ ซิลวา – คริสเตียโน่ โรนัลโด้, อันเดร ซิลวา
อียิปต์ (4-2-3-1) : โมฮาเหม็ด อัล เชนาวี่ – อาเหม็ด ฟาธี่, อาลี กาเบอร์, อาห์เหม็ด เฮกาซี่, โมฮาเหม็ด อับดุล ชาฟี่ – อับดุลลาห์ เอล ซาอิด, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่, ทาเร็ก ฮาเหม็ด – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ฮาห์เหม็ด ฮัสซัน “คูก้า” , มาห์มูด ฮัสซัน “เทรเซ
เกต์”
สนาม : สต๊าด เดอ ฟร้องซ์, ปารีส, ประเทศฝรั่งเศส
เริ่มเกมมาได้แค่ 11 นาทีแรก เจ้าถิ่น ฝรั่งเศส ได้ประตูออกนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ ลูก้าส์ ดีญ ปาดบอลมาหน้าประตู ดาวิด ออสปิน่า รับบอลพลาด มาเข้าทาง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ตามซ้ำด้วยซ้ายเข้าไปไม่เหลือ “ตราไก่” ขึ้นนำก่อน 1-0
ฝรั่งเศส ยังทำเกมรุกได้จัดจ้านและดุดันกว่า ก่อนจะมาได้ประตูนำห่าง 2-0 ในนาที 26 ฌิบริล ซิดิเบ้ แบ็กขวาจ่ายขึ้นหน้าไป กรีซมันน์ ตอกส้นมาให้ เอ็มปั๊ปเป้ ก่อนดาวยิงเปแอสเชลากหลบเข้ากลาง แล้วไหลนิ่มๆต่อให้ โตมาส์ เลอมาร์ ตะบันเต็มข้อเข้าไปไม่เหลือ
ทว่าแค่สองนาทีต่อมา โคลอมเบีย ไล่ตีไข่แตกมาได้มาได้ 2-1จากลูกเปิดทางด้านข้างเข้ามากึ่งยิงกึ่งผ่าน หลุยส์ มูเรียล เข้าชาร์จระยะไม่กี่หลาเข้าไปแบบสวยงาม
จบครึ่งแรก “ตราไก่” ขึ้นนำ โคลอมเบีย 2-1
อาคันตุกะแก้เกมมาเป็นอย่างดี ครึ่งหลัง นาที 62 ไล่ตีเสมอเจ้าถิ่น 2-2 ได้แบบเจ็บแสบ หลัง ฮาเมส โรดิเกซ ดาวเด่นโคลอมเบียสปีดมาถึงก่อนหักบอลมาให้ ฟัลเกา ยืนโล่งๆ แปเข้าไปอย่างเด็ดขาด
รูปเกมของเจ้าถิ่นยังเล่นแบบไร้ความเด็ดขาด ต่างกับโคลอมเบียโต้มาทีได้ลุ้นตลอด
และนาที 85 ก่อนจบเกมส์ ซามูแอล อุมติตี้ มาทำพลาดเข้าไปเสียบ โฮเซ่ อิซเกเรยโร่ ก่อนที่ผุ้ตัดสินจะชี้เป็นจุดโทษ และฮวน ควินตาโร่ จะสังหารจุดโทษเข้าไปไม่เหลื่อ จบเกม ฝรั่งเศส พลิกพ่ายคาบ้านให้ โคลอมเบีย 2-3
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
ฝรั่งเศส (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส (กัปตันทีม) – ฌิบริล ซิดิเบ้, ราฟาแอล วาราน, ซามูแอล อุมติตี้, ลูก้าส์ ดีญ – เอ็นโกโล่ ก็องเต้, แบลส มาตุยดี้ – คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, อ็องตวน กรีซมันน์, โตมาส์ เลอมาร์ – โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์
โคลอมเบีย (4-2-3-1) : ดาวิด ออสปิน่า – ซานติอาโก้ อาเรียส, เยอร์รี่ มิน่า, ดาวินซอน ซานเชซ, แฟร้งค์ ฟาบรา – คาร์ลอส ซานเชซ, อาเบล อากีลาร์ – อันเดรส อูริเบ้, ฮาเมส โรดริเกซ, หลุยส์ มูเรียล – ราดาเมล ฟัลเกา (กัปตันทีม)
สนาม : อัมสเตอร์ดัม อารีน่า
ฮอลแลนด์ โดยการนำทัพของ โรนัลด์ คูมัน ประเดิมคุมทีมชาตินัดแรก ตั้ง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็นกัปตันทีมคนใหม่ พร้อมจัด เมมฟิส เดอปาย เป็นหมัดเด็ด พร้อม บาส ดอสท์ ยืนหน้าเป้าผลิตสกอร์ให้เจ้าถิ่น
ด้าน “สิงโตคำราม” อังกฤษ ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต จัดแนวรุกตัวจี๊ดทั้งนั้น นำโดย มาร์คัส แรชฟอร์ด ผสานงานกับ เจสซี่ ลินการ์ด และราฮีม สเตอร์ลิ่ง
เริ่มเกมมาได้แค่ 12 นาที อังกฤษ ต้องเจอกับข่าวร้าย เมื่อ โจ โกเมซ เจ็บทำให้ต้องถูกเปลี่ยนตัวออก และ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ลงสนามแทน
รูปเกมยังสูสีกัน แต่อัศวินสีส้ม ได้โอกาสก่อนนาทีที่ 22 จาก มัทไธจ์ส เด ลิกต์ ขึ้นมาตัดบอลกลางสนามได้และ จัดการสับไกกว่า 25 หลา บอลกระดอนพื้นไปเข้ามือ จอร์แดน พิคฟอร์ด
อังกฤษมาได้โอกาสบ้างในนาทีที่ 32 จากจังหวะ คีแรน ทริปเปียร์ เปิดฟรีคิกจากฝั่งซ้าย ให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน โฉบโหม่ง บอลหลุดเสาไกลออกไปนิดเดียว
ก่อนหมดครึ่งแรก เมมฟิส เดปาย ได้โอกาสยิงบริเวณหน้าเขตโทษ แต่บอลพุ่งเข้ากลางประตูทำให้ไปเข้าซองของ พิคฟอร์ด
จบครึ่งแรกเกมสูสีกันตรงแดนกลาง แต่โอกาสยิงประตูยังน้อยกันทั้งคู่ ยังเสมอกัน 0-0
เริ่มครึ่งหลัง อังกฤษมาได้ประตูที่ต้องการในนาทีที่ 59 จาก เจสซี่ ลินการ์ด ได้บอลเก็บตกตรงหน้าเขตโทษ จัดการซัดบอลพุ่งเลียดเสียบเสาซ้ายมือไปแบบสุดสวย เฌอโรน โซท หมดสิทธิ์ป้องกัน สิงโตคำราม ขึ้นนำ 1-0
อัศวินสีส้ม หวังเอาประตูคืนจากจังหวะฟรีคิกของเมมฟิส เดปาย นาทีที่ 83 บอลข้ามกำแพงแล้ว แต่พุ่งเข้ามือของ พิคฟอร์ด
อังกฤษเกือบได้ประตูฝังในนาทีถัดมาจากการที่ คีแรน ทริปเปียร์ วิ่งเข้ามาซัดบอลเต็มข้อบริเวณหน้าเขตโทษ แต่ เฌอโรน โซท ทุบทิ้งออกไปได้
เวลาที่เหลือฮอลแลนด์บุกหนักแต่ทำประตูทวงคืนไม่ได้ทำให้อังกฤษบุกมาชนะฮอลแลนด์ 1-0
ผู้เล่น 11 ตัวจริง ที่ลงสนาม
ฮอลแลนด์ : เฌอโรน โซท, ฮันส์ ฮาเตบัวร์, มัทไธจ์ส เด ลิกต์, สเตฟาน เดอ ฟราย, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, พาทริค ฟาน อานโฮลท์, เควิน สตรอทมัน,จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, ควินซี่ โพรเมส , บาส ดอสท์, เมมฟิส เดอปาย
เทรนเนอร์ : โรนัลด์ คูมัน
อังกฤษ : จอร์แดน พิคฟอร์ด, คีแรน ทริปเปียร์, โจ โกเมซ, จอห์น สโตนส์, แดนนี่ โรส, ไคล์ วอล์คเกอร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ราฮีม สเตอร์ลิง, เจสซี่ ลินการ์ด, มาร์คัส แรชฟอร์ด
เทรนเนอร์ : แกเร็ธ เซาธ์เกต