สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือสิงโตน้ำเงินคราม พาทีมแชมป์เก่าอยู่อันดับ 5 ตามหลัง สเปอร์ส 5 แต้ม นี่คือเกมบังคับชนะของพวกเขา โดยผลงานในลีกล่าสุดเปิดบ้านเฉือนคริสตัล พาเลซ 2-1 ก่อนจะออกไปแพ้บาร์ซ่า 0-3 ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามด้วยชนะเลสเตอร์ 2-1 ช่วงต่อเวลาศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย
สภาพทีมของเชลซีไม่ค่อยดีนัก ติโบต์ กูร์กตัวส์ โกลมือ 1 ทำท่าจะต้องนั่งดูเพื่อนเล่น เพราะบาดเจ็บที่เอ็นหลังหัวเข่า งานนี้ วิลลี่ กาบาเยโร่ จะได้ทำหน้าที่แทน
อันเดรียส คริสเตนเซ่น กองหลังเดนมาร์กเป็นอีกคนที่อาจจะต้องพักเนื่องจากความเมื่อล้าที่เล่นอย่างต่อเนื่องทั้งในสโมสรและทีมชาติ
รอสส์ บาร์คลี่ย์ สตาร์ที่ซื้อจากเอฟเวอร์ตัน เมื่อเดือนมกราคมเป็นอีกคนที่เล่นไม่ได้ เพราะเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า รวมทั้ง ดาวิด ลุยซ์ ซึ่งเจ็บข้อเท้าด้วย
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือไก่เดือยทอง ทีมอันดับ 4 มีผลงานที่ดีต่อเนื่องในลีกเพราะชนะมา 4 เกมรวด โดยนัดล่าสุดคือวันที่บุกถล่มบอร์นมัธ 4-1 ก่อนจะแพ้ยูเวนตุส 1-2 ตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก ตามด้วยการบุกชนะสวอนซี 3-0 ในศึกเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
พอชให้ข่าวที่ค่อนข้างช็อกเมื่อ 2 วันก่อนว่า แฮร์รี่ เคน กองหน้าทีมชาติอังกฤษที่เจ็บข้อเท้าไป 3 สัปดาห์ อาจจะคัมแบ็กนัดนี้ได้ ซึ่งเขาจะรอดูจนวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียว
คนที่เล่นไม่ได้แน่ๆ มี แฮร์รี่ วิงค์ส มิดฟิลด์ดาวรุ่งเพียงรายเดียวเท่านั้น เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า
รายชื่อนักแตะที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
เชลซี (3-4-3) : วิลลี่ กาบาเยโร่ – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, แกรี่ เคฮิลล์ – วิคเตอร์ โมเสส, เชส ฟาเบรกาส, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาร์กอส อลอนโซ่ – วิลเลี่ยน, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, เอแด็น อาซาร์
ผู้จัดการทีม : อันโตนิโอ คอนเต้
สเปอร์ส (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส – แซร์ช โอริเย่ร์, ดาวินซอน ซานเชซ, แยน แฟร์ต็องเก้น, เบน เดวิส – มูซ่า เดมเบเล่, วิคเตอร์ วานยาม่า – เอริค ลาเมล่า, เดเล่ อัลลี่, คริสเตียน เอริคเซ่น – ซน ฮึง-มิน (แฮร์รี่ เคน)
ผู้จัดการทีม : เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
ผู้ตัดสิน : อังเดร มาร์ริเนอร์
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– เชลซีไม่แพ้เลยตลอด 22 นัดเหย้าหลังสุดที่พบสเปอร์ส รวมทุกรายการ
– เชลซีเอาชนะได้ 9 จาก 11 นัดเหย้าหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– เชลซีจะยิงได้อย่างน้อย 2 ประตูตลอด 7 นัดเหย้าหลังสุดที่พบสเปอร์สรวมทุกรายการ
– สเปอร์สเอาชนะได้ตลอด 4 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีก
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ถึง 6 จาก 7 นัดหลังสุดของเชลซีในพรีเมียร์ลีก
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ถึง 6 จาก 7 นัดเหย้าหลังสุดที่เชลซีพบสเปอร์สรวมทุกรายการ
ที่มา : Siamsport
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วันที่ 1 เม.ย.ว่า “สิงห์บลู” เชลซี ตกเป็นข่าวกำลังจับจ้องสถานการณ์ของ จามาล ลาสเซลเลส ปราการหลังตัวหลักของทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในขณะนี้
โดยแนวรับวัย 24 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลังของทีมลาลิกาดงได้อย่างต่อเนื่อง ภายในการคุมทัพของ ราฟาเอล เบนิเตซ นับตั้งแต่ย้ายมาจากน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เมื่อปี 2014
ซึ่งจากผลงานอันโดดเด่นกับต้นสังกัด รวมถึงความเป็นผู้นำที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ทำให้ล่าสุด “เดอะ มิร์เรอร์” เผยว่า เชลซีมีความสนใจที่จะดึงตัว ลาสเซลเลส มาเสริมความแข็งแกร่งในแผงแนวรับให้ดีขึ้นกว่าเดิม รวมถึงมีการนำเอาเจ้าตัวไปเปรียบเทียบกับตำนานคนสำคัญอย่าง จอห์น เทอร์รี อีกด้วย
สำหรับอดีตเด็กปั้นของทีม “เจ้าป่า” น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ รายนี้ คาดว่าน่าจะมีค่าตัวในการย้ายทีมไม่น้อยกว่า 30 ล้านปอนด์เลยทีเดียว.
สนาม : เอสตาดิโอ เด กราน กานาเรีย, (ลาส ปาลมาส)
ลาส ปาลมาส เจ้าบ้านรั้งอันดับสามจากท้ายตาราง ต้องเร่งเก็บแต้มหนีการตกชั้น ส่ง อเลน ฮาลิโลวิช, บีเซนเต้ โกเมซ และ โมโม่ ร่ายเกมรุกสนับสนุน โจนาธาน กาเยรี่ กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ เข้าทำประตู
ด้าน ซีเนดีน ซีดาน กุนซือคนดังของเรอัล มาดริดไม่มี ดานี่ การ์บาฆาล แบ็คขวาทีมชาติสเปน ที่ติดโทษแบน รวมไปถึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, มาร์เซโล่ วิเอยร่า, โทนี่ โครส, ดานี่ เซบาโยส, อีสโก้ และ เซร์คิโอ รามอส ที่ลงเล่นไม่ได้ เนื่องจากบาดเจ็บทั้งหมด
เริ่มครึ่งแรกมาได้ 9 นาที เรอัล มาดริด ได้ฟรีคิกเยื้องมาทางด้านขวา แกเร็ธ เบล ปั่นด้วยซ้ายบอลไปติดกำแพงออกมา
สองนาทีต่อมา ลาส ปาลมาส ตอบโต้มาบ้าง โจนาธาน กาเยรี่ จ่ายให้กับ อเลน ฮาลิโลวิช หวดด้วยซ้ายจากนอกเขตโทษ แต่ติดเซฟของ เคย์ลอร์ นาวาส นายทวารของเรอัล มาดริด
เกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 14 เรอัล มาดริด ขึ้นเกมทาง มาร์โก อาเซนซีโอ จ่ายให้กับ คาริม เบนเซม่า ซัดด้วยขวาในกรอบเขตโทษด้านขวาติดเซฟของ เลอานโดร คีคีโซล่า นายทวารลาส ปาลมาส
ผ่านมา 23 นาที เรอัล ลุยมาอีกครั้ง เบล จ่ายให้กับ มาร์โก อาเซนซีโอ กดด้วยซ้ายติดบล็อคของ ฆาบี กาสเตยาโน่ กองกลางของลาส ปาลมาส ออกหลังไป
อย่างไรก็ตามนาทีที่ 26 เรอัล มาดริด ออกนำก่อน 1-0 จากจังหวะที่ ลูก้า โมดริช จ่ายบอลจากในแดนตัวเองทะลุขึ้นหน้าให้ แกเร็ธ เบล ใช้สปีดความเร็วพาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนตะบันด้วยซ้ายเต็มข้อบอลเสียบเสาสองเข้าไปอย่างงดงาม
สามนาทีต่อมา เรอัล มาดริด ต้องส่ง อัคราฟ ฮาคิมี่ แบ็คดาวรุ่งลงมาเล่นแทน นาโช่ เฟร์นานเดซ ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน
ขยับมานาทีที่ 39 ราชันชุดขาว มาได้จุดโทษจากจังหวะที่ ลูกัส บาซเกซ ใช้ตัวบังบอล แต่โดน โจนาธาน กาเยรี่ กองหน้าเจ้าถิ่นที่ลงมาช่วยเกมรับ หวดจากทางด้านหลัง ล้มลงไป ผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษ ก่อนที่ คาริม เบนเซม่า ซึ่งวันนี้สวมปลอกแขนกัปตันทีมนั้น รับหน้าที่สังหารด้วยขวา ส่งบอลเสียบมุมซ้ายเข้าไปให้ เรอัล มาดริด นำห่าง 2-0 เมื่อหมดครึ่งแรก
เข้าสู่ครึ่งหลังได้ 4 นาที เจ้าบ้านได้โอกาส โมโม่ เปิดบอลให้ อเลน ฮาลิโลวิช สับไกยิงด้วยซ้ายจากหน้าเขตโทษ แต่ไม่ผ่านมือของ เคย์ลอร์ นาวาส นายทวารเรอัล มาดริด
กระเถิบมานาทีที่ 51 ทีมเยือนได้จุดโทษอีกครั้งจากจังหวะที่ แกเร็ธ เบล สตาร์ชาวเวลช์ โดน ชิโม่ นาบาร์โร่ กองหลังลาส ปาลมาส ทำฟาวล์ล้มลงไป ผู้ตัดสินเป่าทันที พร้อมชักใบเหลืองให้กับ นาบาร์โร่ ไปด้วย จากลูกจุดโทษ แกเร็ธ เบล ลุกขึ้นมาสังหารเองด้วยซ้าย ส่งบอลเข้ากลางประตูไปให้ เรอัล มาดริด นำขาด 3-0 และเป็นประตูที่สองของเบล ในเกมนี้
ล่วงเลยมานาทีที่ 67 ราชันชุดขาว ได้โอกาส เมื่อ ลูกัส บาซเกซ จ่ายให้กับ คาริม เบนเซม่า สับด้วยซ้ายในกรอบเขตโทษ ไปติดเซฟของ เลอานโดร คีคีโซล่า นายด่านของลาส ปาลมาส
ขยับมาถึงนาทีที่ 76 ลาส ปาลมาส น่าได้ประตู เมื่อ โมโม่ โยนให้กับ โจนาธาน กาเยรี่ โหม่งในกรอบเขตโทษ บอลไปชนคานอย่างน่าเสียดาย
นาทีต่อมา ทีมเยือนมาอีก มาร์กอส ยอเรนเต้ กดด้วยขวาจากนอกเขตโทษ บอลข้ามคานไป
เวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้อีก จบเกม เรอัล มาดริด บุกมาถล่ม ลาส ปาลมาส สบาย 3-0 เก็บสามแต้มเต็มตามเป้าหมาย
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
ลาส ปาลมาส : เลอานโดร คีคีโซล่า – มิเชล มาเชโด้ (ไฆโร ซามเปรีโอ น.46), อเลฆานโดร กัลเบซ, ชิโม่ นาบาร์โร่, มาตีอาส อากีร์เรการาย – ฆาบี กาสเตยาโน่, อัลแบร์โต้ อาควิลานี่ – อเลน ฮาลิโลวิช, บีเซนเต้ โกเมซ (เอริค เอ็กซ์โปซีโต้ น.46), โมโม่ – โจนาธาน กาเยรี่
เรอัล มาดริด : เคย์ลอร์ นาวาส – นาโช่ เฟร์นานเดซ (อัคราฟ ฮาคิมี่ น.29), ราฟาแอล วาราน, เฆซุส บาเยโฆ่, เตโอ แอร์กน็องเดซ – ลูกัส บาซเกซ, คาเซมีโร่ (มาร์กอส ยอเรนเต้ น.62), ลูก้า โมดริช (มาเตโอ โควาซิซ น.61), แกเร็ธ เบล – มาร์โก อาเซนซีโอ, คาริม เบนเซม่า (กัปตันทีม)
ผู้ตัดสิน : ปาโบล กอนซาเลซ ฟวยร์เตส
ที่มา : Siamsport
สนาม : เซลเฮิร์สท์ พาร์ค
คริสตัล พาเลซ มีข่าวดี โดยได้ วิลฟรีด ซาฮา ตัวรุกคนสำคัญ หายเจ็บเข่า ฟิตกลับมาลงเป็นตัวจริงได้ ส่วน ลิเวอร์พูล ต้องขาด โจ โกเมซ กองหลังดาวรุ่ง กับ เอ็มเร่ ชาน มิดฟิลด์ตัวเก่งก็มีปัญหาบาดเจ็บไปทั้งคู่ และได้ นาธาเนียล ไคลน์ แบ็คขวา ฟิตกลับมามีชื่อเป็นตัวสำรอง
เริ่มเกม ลิเวอร์พูล เดินเกมรุกเข้าใส่ แต่เป็น คริสตัล พาเลซ ที่ได้ลุ้นก่อน ในนาทีที่ 8 โยอัน กาบาย วางบอลให้ ซาฮา เกี่ยวบอลลงในเขตโทษ แล้วยิงด้วยขวา แต่บอลไปติดอก ลอริส คาริอุส ที่ออกมาปิดมุมได้ไว
ลิเวอร์พูล ได้เตะมุม ในนาที 11 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เปิดเข้าเขตโทษให้ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค โขกไปที่ปากประตู ซาดิโอ มาเน่ พยายามจะโหม่งเช็ดเปลี่ยนทาง แต่บอลหลุดกรอบไป
คริสตัล พาเลซ มาได้จุดโทษ ในนาที13 จากการที่ คาริอุส ไปขวาง ซาฮา ในจังหวะหลุดเดี่ยว โดยคาริอุส โดนใบเหลืองด้วย และเป็น ลูก้า มิลิโวเยวิช ที่สังหารเข้าไปไม่พลาด คริสตัล พาเลซ ขึ้นนำ 1-0 จนจบครึ่งแรก
เริ่มครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล พยายามเข้าทำ และตีเสมอ 1-1 ได้ในนาที 49 มิลเนอร์ พาบอลเข้าเขตโทษฝั่งซ้าย แล้วผ่านมาที่ปากประตูให้ มาเน่ ตวัดยิงที่เสาแรกเข้าประตูไป
คริสตัล พาเลซ ได้ลุ้นบ้าง ในนาที 58 ทาวน์เซนด์ โหม่งชงให้ คริสติย็อง เบนเตเก้ ได้หลุดไปยิงโล่งๆ ในเขตโทษ แต่บอลหลุดกรอบไป
ลิเวอร์พูล พยายามเน้นทำเกมรุก ในช่วง20นาทีท้าย นาที 84 อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ตัวสำรองโยนเข้าเขตโทษไปที่เสาไกลให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ตบคืนมาให้ ซาลาห์ ดึงบอล แล้วซัดด้วยขวา ที่กลางประตูเข้าไปอย่างเหนือชั้นเป็นลูกที่ 29 ของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ นำเป็นดาวซัลโว จากนั้น ทำอะไรกันไม่ได้อีก หมดเวลา ลิเวอร์พูล จึงบุกมาชนะไป 2-1 เก็บสามแต้มได้ตามเป้า
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
คริสตัล พาเลซ : เวย์น เฮนเนสซี่ย์, อารอน วาน-บิสซาก้า (ทิโมธี โฟซู-เมนซ่าห์ น.88), มาร์ติน เคลลี่, มามาดู ซาโก้, พาทริก ฟาน อานโฮลท์ – เจมส์ แม็คอาร์เธอร์, ลูก้า มิลิโวเยวิช, โยอัน กาบาย (รูเบน ลอฟตัส-ชีค น.73) แอนดรอส ทาวน์เซนด์, คริสติย็อง เบนเตเก้, วิลฟรีด ซาฮา
สำรองที่ไม่ได้ลงเล่น : ดิเอโก้ คาวาเลียรี่,อี ชุง-ยอง,ปาเป้ ซูอาเร่,ดาเมี่ยน เดลานี่ย์,ไจโร่ รีเดวัลด์
ลิเวอร์พูล : ลอริส คาริอุส – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติ๊ป, เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ,เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลจ์ดุม (อดัม ลัลลาน่า น.65, เดยัน ลอฟเรน น.70), โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, ซาดิโอ มาเน่ (อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน น.64)
สำรองที่ไม่ได้ลงเล่น : ซิมง มินโญเล่ต์, เนธาเนี่ยล ไคลน์, อัลเบร์โต้ โมเรโน่, แดนนี่ อิงส์
ผู้ตัดสิน : นีล สวอร์บริค
ที่มา : Siamsport
นาโช่ เฟร์นานเดซ ปราการหลัง วัย 28 ปีของเรอัล มาดริด ฤดูกาลนี้ลงเล่นให้ทีมไปแล้ว 35 นัดทุกรายการ และยังยิงไปอีก 4 ประตู เขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ็คขวา เกมที่มาดริดบุกชนะที่แกรน คานาเรีย 3-0 อยู่ในสนามได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็โดนเปลี่ยนตัวออกเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ ซึ่งรายงานระบุว่าเป็นการเจ็บแฮมสตริง และนั่นเป็นการบาดเจ็บครั้งแรกของเขานับตั้งแต่ค้าแข้งในระดับอาชีพอีกด้วย
“ผมยินดีกับผลงานของลูกทีมเพราะหลังกลับมาจากทีมชาติเรามีเวลาสองวันในการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเกมนี้”
“ผมเปลี่ยนนาโช่ออกเป็นการป้องกันไว้ก่อน เขารู้สึกไม่ดี มีอาการเล็กน้อย ผมหวังว่ามันจะไม่หนัก แต่พรุ่งนี้เราจะส่งเขาไปสแกนและรอดูอีกที” ซีดาน บอกนักข่าวหลังเกม
ที่มา : Buaksib
สนาม : รามอน ซานเชซ ปิซฆวน
เจ้าถิ่น เซบีย่า ส่ง หลุยส์ มูเรียล เป็นหน้าเป้า มี ฆัวกิน กอเรอา, ฟรังโก้ บาสเกซ และเฆซุส นาบาส สนับสนุน ส่วนทางฝั่งจ่าฝูง บาร์เซโลน่า ที่ไม่แพ้ในลีกมา 36 เกม แมตช์นี้จัดสามแนวรุกอย่าง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, หลุยส์ ซัวเรซ และอุสมาน เดมเบเล่ ส่วน ลิโอเนล เมสซี่ เพิ่งหายเจ็บมีชื่อเป็นสำรองเท่านั้น
ช่วงต้นเกม เจ้าถิ่นทำเกมได้วูบวาบกว่า นาที 17 มูเรียล หวิดพังตาข่ายให้ เซบีย่า ขึ้นนำหลังขึ้นโขกเต็มหัวบอลหลุดเสาสองออกไปแบบได้เสียว
นาที 36 แฟนเจ้าถิ่นได้เฮกันลั่น หลังกอรเรอาจ่ายในกรอบเขตโทษให้ ฟรังโก้ บาสเกซ ที่ยืนโล่งๆคนเดียว ปาดเลียดหนีมือ แทร์ สเตเก้น เข้าไปง่ายๆ เซบีย่า ชิงขึ้นนำบาร์เซโลน่าไปก่อน 1-0 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้
ครึ่งหลัง แค่นาทีที่ 50 เจ้าถิ่นได้ประตูนำห่างเป็น 2-0 ฟรังโก้ บาสเกซ อัดเต็มข้อไปโดน แทร์ สเตเก้นทุบออกมาบอลไปเข้าทางของ หลุยส์ มูเรียล ได้ยิงบริเวณจุดโทษบอลไปแฉลบ อุมติตี้ ส่งบอลหนีปลายมือ สเตเก้น เสียบมุมเข้าไป
นาที 55 เซบีย่า น่าจะได้ประตูนำห่างไปไกลหลัง นาบาส หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปดวลเดี่ยวกับ แทร์ สเตเก้น ก่อนจะม้วนยิงไปติด ปิเก้ ที่ลงมาคุมเส้นพอดี แม้ ฟรังโก้ บาสเกซ จะตามมาซ้ำแต่ยิงไปเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย
นาที 58 เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ทนไม่ไหวปรับหมากส่ง เมสซี่ ที่เพิ่งหายเจ็บลงไปเล่นแทน เดมเบเล่
ท้ายเกมเจ้าถิ่น เซบีย่า ยังโหมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนาที 79 จากลูกยิงของ นาบาส แต่บอลไปติดนายด่านเจ้าบุญทุ่มออกหลังไป อีก 5 นาทีถัดมาคราวนี้เป็น บาสเกซ ต้องส่องเน้นๆแต่บอลไปติดขา อุมติตี้ หลุดหลังไปแบบได้ลุ้น
ทว่า นาที 88 จากลูกเตะมุมบอลตกพื้นลอยมาเสาสองถึง หลุยส์ ซัวเรซ กระทุ้งประตูตีไข่แตกให้ทีมเยือนไล่มาเป็น 1-2 จนได้
และไม่ถึงนาที แฟนเจ้าถิ่นซึมเงียบกันเป็นแถว เมื่อ คูตินโญ่ หักบอลเข้ากลางมาให้ เมสซี่ วิ่งมายิงด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบมุมชนิดที่ เซร์คิโอ รีโก้ หมดปัญญาเซฟ ให้ทีมเยือนบุกมาตีเสมอ 2-2
ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกมเป็นอันว่า เซบีย่า ชวดคว้าชัยหลังโดนจ่าฝูง บาร์เซโลน่า รัวสองเม็ดติดไล่ตีเสมอ 2-2 ทำสถิติไร้พ่ายในลีกต่อไป
รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม
เซบีย่า (4-3-3) เซร์คิโอ รีโก้ – กาเบรียล มาร์ชาโด้ (มิเกล ลายุน น.47), ไซม่อน เคียร์, เกลม็องต์ ลองเล่ต์, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่ – เอเวร์ บาเนก้า, สตีเว่น เอ็นซอนซี่ – เฆซุส นาบาส (โนลิโต้ น.81), ฟรังโก้ บาสเกซ, ฆัวกิน กอเรอา (กีโด ปิซาร์โร่ น.72) – หลุยส์ มูเรียล
บาร์เซโลน่า (4-3-3) : มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเก้น – เซร์จี้ โรเบร์โต้, ซามูแอล อุมติตี้, เคราร์ด ปีเก้, จอร์ดี้ อัลบา – อุสมาน อิวาน ราคิติช, เปาลินโญ่ (เดนนิส ซัวเรซ น.77), อันเดรส อีเนียสต้า (ปาโก้ อัลกาเซร์ น.81) – อุสมาน เดมเบเล่ (ลิโอเนล เมสซี่ น.58), หลุยส์ ซัวเรซ, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่
ที่มา : Siamsport
สนาม : อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม
มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เทรนเนอร์ ยูเวนตุส เกมนี้ส่ง เปาโล ดีบาล่า และกอนซาโล่ อิกวาอิน สองหัวหอกล่าตาข่าย ขณะที่ เอซี มิลาน ของ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ จัดสามแนวรุกทั้ง ซูโซ่, ฮาคาน ชาลาโนกลู และอังเดร ซิลวา
ครึ่งแรกเริ่มเกมมาได้แค่ 8 นาที กลายเป็น “ม้าลาย” ที่ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ มิราเล็ม ปานิช จ่ายเข้ากลางให้ เปาโล ดีบาล่า พลิกตัวบริเวณหัวกระโหลกก่อนสับไกยิงบอลพุ่งหนีมือ ดอนนารุมม่า เข้าไป ยูเวนตุส ขึ้นนำ เอซี มิลาน
ก่อน 1-0
แต่ในนาที 28 “ปีศาจแดงดำ” ทีมเยือนไล่ตีเสมอ ยูเวนตุส 1-1 สำเร็จ ฮาคาน ชาลาโนกลู ปั่นเตะมุมทางด้านซ้าย บอลมาถึง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ อดีตแนวรับ “ม้าลาย” โถมโขกเข้าไป
จบครึ่งแรก ยูเวนตุส ยังเสมอกับ เอซี มิลาน 1-1
เกมครึ่งหลังทั้งสองทีมเล่นแบบระมัดระวังมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนเข้าช่วง 10 นาทีท้ายเกม นาที 79 “ม้าลาย” ชิงขึ้นนำ 2-1 เคดิร่า หลุดเข้าไปตักบอลมาเสาสองให้ ฮวน กวาดราโด้ ทะยานมาโขกบอลตุงตาข่าย
นาที 87 เจ้าถิ่นมายิงเพิ่มหนีเป็น 3-1 คราวนี้ ดีบาล่า เป็นฝ่ายจ่ายให้ เคดิร่า วิ่งมาซัลโวเข้าไปไม่เหลือ ส่งให้ทีมซิวสามแต้มนำจ่าฝูงหนี นาโปลี เป็น สี่ คะแนนแล้ว
รายชื่อนักเตะที่ลงสนาม
ยูเวนตุส (3-5-2) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน – เมห์ดี้ เบนาเตีย, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, อันเดรีย บาร์ซาญี่ – สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์ (ดั๊กลาส คอสต้า น.46), ซามี่ เคดิร่า, มิราเล็ม ปานิช (โรดริโก้ เบนตันกูร์ น.76), แบลส มาตุยดี้ (ฮวน กวาดราโด้ น.61), ควัดโว อซาโมอาห์ –
เปาโล ดีบาล่า, กอนซาโล่ อิกวาอิน
เอซี มิลาน (4-3-3) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า – ดาวิเด้ คาลาเบรีย, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, อเลสซิโอ โรมันโยลี่, ริคาร์โด้ โรดริเกซ – ฟร้องค์ เกสซีเย่, ลูกัส บีย่า (ริคคาร์โด้ มอนโตลิโว่ น.76), จาโคโม่ โบนาเวนตูร่า – ซูโซ่, อังเดร ซิลวา (นิโกล่า คาลินิช น.65), ฮาคาน
ชาลาโนกลู (พาทริค คูโตรเน่ น.80)
ที่มา : Siamsport
ซึ่ง โรเมลู ลูกากู พึ่งซัด 1 ประตูช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถเอาชนะ สวอนซี ซิตี้ไปได้ 2-0 เมื่อคืนที่ผ่านมา และทำสถิติซัดในพรีเมียร์ลีกครบ 100 ประตูได้แล้ว
ทั้งนี้ โจเซ่ มูรินโญ่ กล่าวว่า “พัฒนาการของลูกากูเด่นชัดมาก ตอนที่อยู่กับเชลซีเขาเคยเป็นสุดยอดดาวรุ่งที่โดดเด่น แต่จากนั้นเขาไปได้ประสบการณ์จากการเล่นให้สโมสรดีๆ ”
” ก่อนจะย้ายมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งถึงตอนนี้จิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากเลยล่ะ จากนี้ไปก็คงเป็นรายละเอียดปลีกย่อยของตัวนักเตะเอง ทั้งการเคลื่อนที่, ความรู้สึก การเรียนรู้ในทุกๆสเต๊ปของเขานั่นแหละ” มูรินโญ่ ทิ้งท้าย
ที่มา : buaksib
ชาวอียิปต์แห่โหวต โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกจรวดของ ลิเวอร์พูล นั่งแท่นประธานาธิบดีอียิปต์ แถมงานนี้ดูเหมือนว่าชาวอียิปต์กว่าล้านคนต่างเทคะแนนให้ดาวยิงหงส์แดงรายนี้เลยทีเดียว
โดยผู้ลงคะแนนต่างกาชื่อสองผู้สมัครที่ลงแข่งเลือกตั้งหนนี้ทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะเพิ่มชื่อของ ซาลาห์ ลงไปและเลือกเขาให้เป็นประธานาธิบดีแทน
ตามรายงานอ้างว่า อับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ถูกรับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของอียิปต์สมัยที่สองติดต่อกัน หลังกวาดคะแนนเสียงถึง 92 เปอร์เซนต์ เอาชนะ มุสซา มุสตาฟา มุสซา ผู้ท้าชิงในตำแหน่งดังกล่าวที่ถูกโหวตเพียง 3 เปอร์เซนต์เท่านั้น และ 5 เปอร์เซนต์ที่เหลือนั้นเป็นบัตรเสีย ซึ่งเชื่อว่าชาวอียิปต์นับล้านคนต่างแห่เสนอชื่อของฮีโร่ผู้พา อียิปต์ ไป ฟุตบอลโลก นั่นเอง
ซาลาห์ ที่เพิ่งซัดประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล บุกแซงชนะ คริสตัล พาเลซ 2-1 ส่งผลให้เจ้าตัวยิงในลีกไปแล้ว 29 ประตู นำโด่งดาวซัลโว พรีเมียร์ ลีก อยู่ในเวลานี้
แฮร์รี่ เคน จอมถล่มทีมชาติอังกฤษ วัย 24 ปี ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บเส้นเอ็นบริเวณข้อเท้า ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจต้องพักรักษาตัวไปจนถึงช่วงกลางเดือนเมษายนก่อนจะสามารถกลับมาลงสนาม
แต่ล่าสุด ปอเช็ตติโน่ ไม่ปิดโอกาสที่เคนจะมีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมกับเชลซีวันอาทิตย์นี้ ช่วงเวลาที่เคนพลาดลงเล่น ซาล่าห์ ขึ้นไปเป็นดาวซัลโวเดี่ยวของลีกอยู่ที่ 29 ลูก แต่พอช เผยว่าเคนไม่เคยกังวลถึงรางวัลรองเท้าทองคำ
“แฮร์รี่เป็นคนที่พิเศษมาก เขาต้องการช่วยทีม แน่นอนว่าเขาอยากทำประตู แต่เขาต้องการทำแบบนั้นเพื่อช่วยเหลือทีมของเรา”
“มันไม่ได้อยู่ในใจของเขาเลยว่าเป้าหมายหลักคือ การไล่ตามซาล่าห์หรือผู้เล่นคนอื่น ๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นนักเตะที่พิเศษ”
“เขาต้องการทำประตู และผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเป็นการที่เขาพาทีมคว้าถ้วยรางวัล สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือเขาอยากจะช่วยทีม” ปอเช็ตติโน่ กล่าว
ที่มา : buaksib