สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์ (ลอนดอน)
อันโตนิโอ คอนเต้ นายใหญ่เชลซี เปลี่ยนทีมตำแหน่งเดียวจากชุดล่าสุด เลือกใช้ เชส ฟาเบรกาส แทน ติมูเอ้ บากาโยโก้ ตรงกลางสนาม ส่วนแนวรุกมีสามประสาน อัลบาโร่ โมราต้า, เอแด็น อาซาร์ และ วิลเลี่ยน ขณะที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือสเปอร์สได้ แฮร์รี่ เคน กลับมานั่งสำรอง ปล่อยให้ เดเล่ อัลลี่ รับภารกิจในการสร้างเกมรุกกับ ซน เฮือง มิน
เกมลอนดอนดาร์บี้เปิดฉากโดยแลกกันมันส์หยด สเปอร์ส ลุยใส่ไม่เกรงศักดิ์ศรี น.20 เจ้าถิ่นใกล้เคียงต่อการได้ประตูเมื่อ วิลเลี่ยน ได้บอลในกรอบเขตโทษด้านขวาแล้วสับไก แต่ติดเซฟ อูโก้ โยริส หวุดหวิด
นาทีต่อมา จากลูกเปิดทางกราบขวา มาร์กอส อลอนโซ่ แบ๊กซ้ายชาวสแปนิชบรรจงแปเสียบมุมเข้าไปตุงตาข่าย แต่งานนี้ มีธงขึ้นก่อนว่าล้ำหน้า แฟนๆ เชลซี เลยเฮเก้อ
กระทั่งครึ่งชั่วโมงพอดี แฟนๆ สิงโตน้ำเงินคราม ได้เฮสมใจเมื่อ วิคเตอร์ โมเสส เติมขึ้นทางขวาแล้วเปิดเข้ากลางให้ อัลบาโร่ โมราต้า เทกตัวโหม่งจมตาข่ายให้ เชลซี ทะยาน 1-0
สเปอร์ส เร่งเครื่องหวังเอาคืน จนทำได้สำเร็จในช่วงทดเวลาบาดเจ็บจากลูกยิงสุดมหัศจรรย์กว่า 30 หลาของ คริสเตียน เอริกเซ่น ที่ตะบันบอลส่ายฮุคลงชนิดที่ วิลลี่ กาบาเยโร่ หมดสิทธิ์ป้องกัน จบครึ่งแรก เสมอกัน 1-1
ครึ่งหลังเกมยังเปิดแลกกันสุดมันส์ ไก่เดือยทองได้เสียวสุดๆ เมื่อครบหนึ่งชั่วโมงของเกม จากจังหวะที่ ซน ได้บอลแล้วปั่นจากนอกกรอบด้านขวา ลูกกำลังจะมุดเข้าประตู ทว่า กาบาเยโร่ บินปัดได้
อีกเพียง 2 นาทีต่อมาหรือ น.62 สเปอร์ส ก็แซงนำ 2-1 เมื่อ เอริก ดายเออร์ วางยาวจากแนวรับให้ เดเล่ อัลลี่ วิ่งไปเกี่ยวลงในเขตโทษนิ่มๆ แล้วยิงเร็วผ่านมือ กาบาเยโร่ แบบสุดสวย
สเปอร์ส ได้ใจสุดๆ และหนีเป็น 3-1 ในน.65 เมื่อ ซน สปีดเข้าไปในกรอบเขตโทษด้านขวา ก่อนพยายามยิงเองไปติด กาบาเยโร่ ในจังหวะแรก และตามซ้ำ บอลขลุกขลิกกองหลังเจ้าถิ่นเคลียร์ไม่ขาดก่อน อัลลี่ จะปรี่เข้าซัดเผาขนไม่เหลือซาก
เหลือ 15 นาทีสุดท้าย ไก่เดือยทอง ปล่อยทีเด็ดส่ง เคน ลงแทน ซน ก่อนปิดเกมเอาชนะไปอย่างยอดเยี่ยม แทบจะดับฝัน เชลซี ในการคว้าตั๋วไป ชปล. เพราะ สเปอร์ส รั้งอันดับสี่ ทิ้งที่ห้าอย่าง สิงโตน้ำเงินคราม ถึง 8 แต้ม
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี : วิลลี่ กาบาเยโร่, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, วิคเตอร์ โมเสส (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ น.81), เชส ฟาเบรกาส, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาร์กอส อลอนโซ่ (เอเมอร์สัน น.83), วิลเลี่ยน, เอแด็น อาซาร์, อัลบาโร่ โมราต้า (คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย น.88)
สำรองไม่ได้ใช้ : แดนนี่ ดริ้งค์วอเตอร์, ติมูเอ้ บากาโยโก้, แกรี่ เคฮิลล์, เอดูอาร์โด้
สเปอร์ส : อูโก้ โยริส, คีแรน ทริพเพียร์, ดาวิดซอน ซานเชซ, แยน แฟร์ทองเก้น, เบน เดวิส, เอริก ดายเออร์ (วิคเตอร์ วานยาม่า น.81), มุสซ่า เด็มเบเล่, เอริค ลาเมล่า (มุสซ่า ซิสโซโก้ น.88), เดเล่ อัลลี่, คริสเตียน เอริกเซ่น, ซน เฮือง มิน (แฮร์รี่ เคน น.74)
สำรองไม่ได้ใช้ : แดนนี่ โรส, มิเชล ฟอร์ม, แซร์ช โอริเย่ร์, ลูคัส มูร่า
ที่มา: Siamsport
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 2 เม.ย. ว่า “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมทุ่มงบประมาณ 200 ล้านปอนด์ ให้ โชเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมคนเก่ง ใช้เสริมทัพ 6 นักเตะเป้าหมายในช่วงซัมเมอร์นี้
จากการที่คู่แข่งของยูไนเต็ดอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ใกล้ที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ โดยปัจจุบันมีแต้มนำห่างพวกเขาอยู่ถึง 16 คะแนน ทำให้บอร์ดบริหารของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมปรับปรุงทีมครั้งใหญ่ในช่วงซัมเมอร์นี้
รายงานข่าวล่าสุดจาก เดอะ ซัน สื่อดังของอังกฤษ ระบุว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมเทงบ 200 ล้านปอนด์ ให้มูรินโญ โดยกุนซือชาวโปรตุเกสวางเป้าหมายเสริมทัพในตำแหน่งกองหลัง, แบ็กซ้าย, แบ็กขวา และกองกลาง ซึ่งนักเตะที่อยู่ในข่ายคือ จอร์จินโญ กองกลางของนาโปลี, อเล็กซ์ ซานโดร แบ็กซ้ายของยูเวนตุส, แดนนี โรส แบ็กซ้ายชาวอังกฤษ และ โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ กองหลังทีมชาติเบลเยียม 2 กองหลังของทอตแนม สเปอร์ส, คีแรน เทียร์นีย์ แบ็กซ้ายของกลาสโกว์ เซลติก และ เฮคตอร์ เบเยริน แบ็กขวาของอาร์เซนอล
นายด่านทีมชาติไทย ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาให้ โอเอชแอล ทีมในดิวิชั่น 2 เบลเยียม เป็นแมตช์ที่ 4 ติดต่อกันในเกมบุกเสมอ ซูลเต้ วาเรเก้ม ทีมจากลีกสูงสุด เบลเยียม และโชว์ผลงานช่วยเซฟป้องกันลูกอันตรายหลายครั้ง ก่อนจะพาทีมเก็บแต้มแรก ในเกมประเดิมรอบ เพลย์ออฟ แบ่งกลุ่ม ชิงตั๋วไป ยูโรปา ลีก เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา
หลังเกม “ตอง” เปิดใจว่า “ถามว่าเสียดายมั้ยก็เสียดาย จริงๆแล้วตั้งเป้าส่วนตัวไว้อยากช่วยทีมให้ได้มากที่สุด อยากได้ 3 คะแนน แต่ถ้าดูจากสถานการณ์แล้วเราเจอทีมที่อยู่ลีกสูงกว่า แถมครึ่งหลังเริ่มได้ไม่นานทีมต้องมาเหลือผู้เล่นน้อยกว่าอีก ถือว่าไม่เสียหายที่ได้ 1 แต้มในเกมนี้”
กวินทร์เผยถึงฟอร์มการเล่นของตัวเองที่ยังต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกแม้เกมนี้แทบจะไม่มีข้อผิดพลาดก็ตาม “มันก็มีที่โอเคและที่ยังต้องปรับปรุง ยังต้องปรับในทุกๆด้าน อยากทำให้ดีกว่านี้ในทุกๆอย่าง อยากฝึกซ้อมให้ดีกว่านี้ อยากพัฒนาตัวเองให้ดีกว่านี้ ส่วนเรื่องการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมนั้นตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่คอยติดตาม ถึงแม้จะลงเล่นดึกไปหน่อยกับเวลาที่เมืองไทย ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ตลอดมา เกมหน้าช่วยเป็นกำลังใจให้โอเอช ลูเวินด้วยครับ” กัปตันทีมชาติไทยกล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ โอเอช ลูเวิน จบสเตจที่ 2 ซิวอันดับ 3 ดิวิชั่น 2 เบลเยียม คว้าสิทธิ์มาเล่นในรอบแบ่งกลุ่มชิงตั๋ว ยูโรปา ลีก ได้สำเร็จ โดยอยู่ในสาย เอ ร่วมกับ คอร์ไทร์ค, โรยัล มุสครง, ซูลเต้ วาเรเก้ม, วาสแลนด์ เบเวอเรน และ เค ลีร์เซ่ โดยโปรแกรมนัดต่อไปได้กลับไปเฝ้ารังพบ เค ลีร์เซ่ เพื่อนร่วมลีกดิวิชั่น 2 เบลเยียม ในวันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน 2561 เวลา 01.00 น.
ที่มา : siamsport
สนาม : เวเซอร์ สตาดิโอน
เบรเมนลงเตะในบ้านรับแข้งแฟร้งค์เฟิร์ต เจ้าถิ่นส่งอิชัค เบลโฟดิล, มักซ์ ครูเซ่ และ ซลัตโก้ ยูนูโซวิช เป็น 3 ประสานแดนหน้า ส่วนแฟร้งค์เฟิร์ต นำมาโดยคู่หอกอันเต้ เรบิช และ ลูก้า โยวิช
เจ้าถิ่นได้ลุ้นก่อนนาที 16 โธมัส เดอลานี่ย์ โหม่งชงมาให้ไอชัค เบลโฟดิล เทกตัวโขกเน้นๆ แต่ติดเซฟลูคัส ฮราเด็คกี้ หวุดหวิด
เบรเมนออกนำจนได้นาที 28 เป็นเดอลานี่ย์คนเดิมที่เปิดบอลมาให้ซลัตโก้ ยูนูโซวิช ยิงด้วยขวา ส่งบอลเสียบตาข่ายอย่างเด็ดขาด
ท้ายครึ่งแรก แฟร้งค์เฟิร์ตมีลุ้นตีเสมอติโมธี ชานด์เลอร์ ครอสมาให้มาร์โก ฟาเบียน สอดมาโหม่ง แต่ยังไม่ผ่านมือยิรี่ พาฟเลนก้า หมดครึ่งแรกเบรเมนนำ 1-0
ครึ่งหลังนาที 53 แฟร้งค์เฟิร์ตตีเสมอ 1-1 สำเร็จ ในชอตที่เควิน-พรินซ์ บัวเต็ง เปิดบอลมาให้ลูก้า โยวิช อัดด้วยซ้ายเข้าไปไม่เหลือ
นาที 79 เบรเมนขึ้นนำอีกครั้งแบบเฮงๆ ดาวิด อับราฮัม กองหลังแฟร้งค์เฟิร์ต พยายามขึ้นโหม่งสกัดลูกเปิดจากกราบขวา แต่ผิดเหลี่ยมบอลย้อยข้ามฮราเด็คกี้เข้าประตูตัวเองไปแบบโชคร้าย จบเกมเบรเมนเบียดชนะแฟร้งค์เฟิร์ต 2-1
รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
เบรเมน : ยิรี พาฟเลนก้า, ธีโอดอร์ เกเบร เซลาสซี่, มิลอส เวลโควิช, นิคลาส มอยซานเดอร์, ลุดวิก ออกุสติสสัน, ฟิลิปป์ บาร์กเฟรเด้, มาริโอ เอ็กเกชไตน์, โธมัส เดลานี่ย์, อิชัค เบลโฟดิล, มักซ์ ครูเซ่, ซลัตโก้ ยูนูโซวิช
แฟร้งค์เฟิร์ต : ลูคัส ฮราเด็คกี้, ดาวิด อบราอัม, มาโกโตะ ฮาเซเบะ, มาร์โค รุสส์, ดานนี่ ดา คอสต้า, โจนาธาน เด กุซมัน, ทิโมธี แชนด์เลอร์, มาริอุส โวล์ฟ, เควิน-ปรินซ์ บัวเต็ง, อันเต้ เรบิช, ลูก้า โยวิช
ผู้ตัดสิน : เฟลิกซ์ ซเวเยอร์
ที่มา: Siamsport
สนาม : สต๊าด เดอ โล้บ
ทรัวส์ ทีมที่กำลังหนีตกชั้น เปิดสต๊าด เดอ โล้บ พบ นีซ
ฌอง-หลุยส์ การ์เซีย เทรนเนอร์ทรัวส์วัย 55 ปี ได้ สเตฟาน ดาร์กบีญง ปีกขวาหายเจ็บนิ้วเท้า กลับมาลงสนาม
ลูเซียง ฟาฟร์ เทรนเนอร์ชาวสวิสวัย 60 ปี ของนีซส่ง อัลลัน แซงต์-มักซีแม็ง, มาริโอ บาโลเตลลี่, อลาสซาน เพลอา นำทัพแดนหน้า
เกมครึ่งแรก นาที 16 นีซนำ 1-0 ซามูแอล กร็องด์ซีร์ ปีกซ้ายทรัวส์ จ่ายบอลทางริมเส้นฝั่งซ้ายพลาดไปเข้าทาง อลาสซาน เพลอา ซัดเท้าขวาจากนอกกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายตุงตาข่าย
นาที 28 มาริโอ บาโลเตลลี่ ผ่านบอลให้ เพลอา ยิงตุงตาข่าย แต่ โยอัน อาแมล ผู้ตัดสินไม่ให้นีซได้ประตู โดยเป่าเป็นจังหวะล้ำหน้า
นาที 39 ทรัวส์เปลี่ยนเอา แบ็งฌาแม็ง นิเว่ต์ มิดฟิลด์กัปตันทีม ออกจากสนาม เนื่องจากบาดเจ็บที่ไหล่ และเป็น ซาอิฟ-เอ็ดดีน คาอุย ได้ลงเล่นแทนในแดนกลาง
จบครึ่งแรก นีซนำ 1-0
ครึ่งหลัง นีซยังบุกน่ากลัว และนาที 83 พวกเขานำห่าง 2-0 วีย์ลัน ซีเปรียง ผ่านบอลจากนอกกรอบเขตโทษไปที่ อลาสซาน เพลอา ซัดเท้าขวาในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายเรียบร้อย เป็นลูกที่สองของเขาในนัดนี้ และเป็นประตูที่ 12 ของเขาในลีก เอิง ฤดูกาลนี้
จบเกมนีซบุกมาชนะทรัวส์ 2-0
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
ทรัวส์ : แอร์กวิน เซลาซนี่ – มาติเยอ เดอปลาญ, ออสวัลโด้ วิซคาร์รอนโด้, คริสตอฟ เอแรล, ชาร์ลส์ ตราโอเร่ – ฟร็องซัวส์ แบลลูกู (ซ็อค ฮยอน-จุน น.78), คาริม อซามุม – สเตฟาน ดาร์กบีญง, แบ็งฌาแมง นิเว่ต์ (กัปตันทีม) (ซาอิฟ-เอ็ดดีน คาอุย น.39), ซามูแอล กร็องด์ซีร์ (ไบรยัน เปอเล่ น.57) – อดาม่า นิยาเน่
สำรองที่ไม่ได้ใช้ : มามาดู ซามาสซ่า (ผู้รักษาประตู), เฌเรมี่ กอร์กโดวาล, จิมมี่ ชิโรดง, ชาอูกี้ เบน ซาด้า
นีซ : วอลเตอร์ เบนิเตซ – อาร์กโนด์ ซูเก้ต์, ดันเต้ บอนฟิม (กัปตันทีม), มาร์ลอน ซานโต๊ส, มักซีม เลอ มาร์กช็องด์ – ปิแอร์ เลแอส-เมลู, ฌอง มิเชล เซรี (อาเดรียง ตาแมซ น.85), วีย์ลัน ซีเปรียง – อัลลัน แซงต์-มักซีแม็ง (บาสเซม ซราร์ฟี่ น.82), มาริโอ บาโลเตลลี่ (มาล็องช์ ซาร์ น.85), อลาสซาน เพลอา
สำรองที่ไม่ได้ใช้ : โยอัน การ์กดินาล (ผู้รักษาประตู), ราซีน โกลี่, อาร์กโนด์ ลูซ็อมบา, มิกกาแอล เลอ บีอ็อง
ผู้ตัดสิน : โยอัน อาแมล
ที่มา: Siamsport
ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลางสัปดาห์นี้ เป็นเกมที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอย หงส์แดง ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดแอนฟิลด์รับการมาเยือนของ เรือใบสีฟ้า ในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก หลังจากที่ทั้งสองทีมต่างเก็บสามแต้มในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังจอมเกร่งของ ลิเวอร์พูล พูดถึงเกมสำคัญที่จะถึงนี้ว่า “ตื่นเต้นมาก มันเป็นเกมรองก่อนรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก และผมไม่เคยเล่นในระดับนี้มาก่อน”
“ผมตั้งตารอที่จะได้ลงเล่นในบรรยากาศอันยอดเยี่ยมที่แอนฟิลด์ และหวังอย่างยิ่งว่าเราจะมีความสุขหลังเกมด้วย”
“ผมเคยดูเกมใหญ่ยุโรปที่แอนฟิลด์มาก่อน และรู้ว่าพวกเขามีความพิเศษมาก บรรยากาศของสนามจะช่วยเราได้มาก มันขึ้นกับนักเตะที่ต้องทำผลงานในสนาม”
“แน่นอนเลยเรารู้ว่า พวกเขาแพ้เป็น แต่นี่เป็นเกมที่แตกต่าง วันพุธนี้เป็นเพียงนัดแรก เราต้องโฟกัสและเตรียมตัวให้ดี”
ที่มา : Buaksib
แซร์คิโอ้ อเกวโร่ ดาวยิงตัวเก่งของทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้เขาแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในการยิงประตู แต่เจ้าตัวโชคร้ายได้รับอาการบาดเจ็บรบกวนที่บริเวณหัวเข่าระหว่างการฝึกซ้อม ก่อนเกมเอาชนะสโต๊ค ซิตี้เมื่อวันที่ 12 มีนาคม แรกเริ่มแพทย์ประจำทีมคาดการณ์ว่า เขาต้องพัก 2-3 สัปดาห์ แต่หลังเอาชนะเอฟเวอร์ตัน กวาร์ดิโอล่าก็เปรยว่า นักเตะอาจกลับมาเป็นตัวสำรองที่แอนฟิลด์ได้
“เราจะได้เห็นกัน เขายังคงไม่ได้ซ้อม”
“หวังว่าเขาจะดีขึ้นมาก พรุ่งนี้เราจะได้เห็นกัน ในสถานการณ์เหล่านี้มันต้องดูไปทีละวัน หวังว่าเขาจะช่วยเราได้”
“บางทีมันอาจไม่ใช่ตั้งแต่เริ่มเกม บางทีมันอาจเป็นที่ม้านั่งสำรอง”
“หรือเพราะหลังจากนั้นเรามีเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และหลังจากนั้นคุณก็มีเกมกับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ 2 บางทีคุณอาจต้องเปลี่ยนระบบ และมีกองหน้า 6 คนเพื่อคว้าชัยชนะในเกม เราจึงต้องการ อเกวโร่,กาเบรียล เฮซุส ,ลูคัส เอ็นเมช่า,ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และทุกๆคน”
“ดังนั้นการเจอกับลิเวอร์พูลไม่ใช่เพียงเกมเดียว มันเป็น 180 นาที เราต้องพยายามและโชว์ฟอร์มให้ดีที่นั่นเพื่อเกมนัดที่ 2” กวาร์ดิโอล่า กล่าว
ที่มา : Buaksib
เควิน เดอ บรอยน์ ตัวปันเกมแดนกลางทีมชาติเบลเยี่ยม สารภาพว่าไม่ง่ายที่จะเอาชนะทีมของโจเซ่ มูรินโญ่ที่กำลังฟอร์มดีแต่หากทำสำเร็จจะได้รับการจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย
จากเกมชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องการชัยชนะในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์จะการันตีแชมป์ทันที หลังปัจจุบันนำเป็นจ่าฝูงทิ้งห่างถึง 16 คะแนน
“เรามีความกระหายอยู่ในห้วงเวลาแบบนี้นี่แหละที่เราอยากได้ “
“คุณเล่นมาหลายเกมตลอดทั้งฤดูกาล คุณพยายามทำผลงานให้ออกมาดีเพื่อมายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดและรักษาให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ดังนั้นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเป็นอะไรที่พิเศษสุด แฟนๆอยากเห็นโมเมนต์เฉลิมฉลองที่เอาชนะทีมคู่ปรับร่วมเมือง”
“คุณคงตระหน้กดีว่าระหว่างทั้งสองทีมต่อสู้ชิงชัยมาโดยตลอด คุณคงรู้ประวัติศาสตร์ ดังนั้นมันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย” เดอ บรอยน์ กล่าว
ที่มา : buaksib
โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ปีกจอมถล่มประตูทีมชาติอียิปต์ เพิ่งสวมบทฮีโร่พังประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล พลิกสถานการณ์กลับมาแซงชนะคริสตัล พาเลซ ถึงถิ่น 2-1 ทำให้เขายังเดินหน้าสร้างสถิติยิงนำดาวซัลโวในพรีเมียร์ลีกที่ 29 ประตู
กวาร์ดิโอล่า ยอมรับนอกจากต้องจับตา ซาล่าห์ แล้วไม่ควรมองข้ามตัวอันตรายสองประสานอย่าง ฟิร์เมียโน่ และ ซาเน่ ที่ประสานงานกันอย่างลงตัว
“แน่นอนในฐานะผู้จัดการทีม นับจากนี้เกมกับ ลิเวอร์พูล ได้เข้าไปอยู่ในหัวสมองของผมหมดแล้ว”
“แต่ผมคงไม่ระมัดระวัง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ เป็นพิเศษ เพราะไม่มีแค่เขาเท่านั้น ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟิร์เมียโน่ ต่างอันตรายพอๆกัน นี่คือสามประสานแดนหน้าที่อะไรก็ฉุดไม่อยู่”
“ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่มีนักเตะมหัศจรรย์หลายคน สไตล์การเล่นของพวกเขาสร้างความยุ่งเหยิงให้เราอย่างมาก เราตระหนักเรื่องนี้ดี กองหน้าของพวกเขาไวมากๆ ดังนั้นเราจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ” เป็ป กล่าว
เชลซี
วิลลี่ กาบาเยโร่ 5
การยืนผิดตำแหน่งทำให้เขาหมดสิทธิ์เซฟลูกยิงของเอริกเซ่น
เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า 5
ตามประกบ เดเล่ อัลลี่ พลาดทำให้เสียประตูที่สอง วันนี้ดูต่ำกว่ามาตรฐาน
อันเดรียส คริสเตนเซ่น 5
เจอแนวรุกของสเปอร์สปั่นป่วนในครึ่งหลังจนพลาดหลายครั้ง
อันโตนิโอ รือดิเกอร์ 5
ครึ่งหลังตามประกบซน ซน เฮือง มิน พลาด
วิคเตอร์ โมเสส 5
เล่นเกมรุกได้โดดเด่น ครอสบอลเข้าหัวโมราต้าแบบสวยงาม แต่พลาดทำเสียบอลจนนำมาซึ่งประตูแรก
เชส ฟาเบรกาส 5
มีลูกจ่ายสวยๆบ้าง แต่แทบจะดดนลักพาตัวหายไปทั้งเกม
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ 6.5
ทำหน้าที่อย่างหนักในการตัดเกมแดนกลาง แต่น่าเข้ามาบล็อคลูกยิงของเอริกเซ่นได้เร็วกว่านี้
มาร์กอส อลอนโซ่ 6
เกือบมีชื่อทำประตูแต่ล้ำหน้า มีโอกาสทำประตู 2-3 ครั้งแต่พลาดไป
วิลเลี่ยน 6
เป็นนัดที่สองแล้วที่เจ้าตัวยิงไม่ได้ หลังจากก่อนหน้านี้ยิงไป 4 ลูกจาก 3 เกม บทบาทในเกมรุกน้อยมาก
เอแด็น อาซาร์ 5
ปั่นป่วนแนวรับสเปอร์สได้บ้าง แต่วันนี้ยกระดับเกมรุกของทีมไม่ได้
อัลบาโร่ โมราต้า 6.5
ชิงโหม่งทำประตูแรกได้สวยงาม แต่หลังจากนั้นดูเหมือนจะเงียบหายไป
ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม
โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ 5
ลงมาช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่
เอเมอร์สัน 5
พยายามเติมเกมบุกทางฝั่งซ้าย แต่ยังทำอะไรไม่ได้มาก
คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย
ไม่มีคะแนน
สเปอร์ส
อูโก้ โยริส 5.5
เซฟลูกยิงของลิเลี่ยนได้ดี แต่มีออกมาตัดบอลพลาดทำให้เสียประตู
คีแรน ทริปเปียร์ 6.5
โดนอลอนโซ่ ปั่นป่วนอยู่นานในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังทำได้ดีขึ้น เติมขึ้นไปเปิดบอลหลายครั้งแต่ไม่ค่อยเข้าเป้า
ดาวิดซอน ซานเชซ 7.5
ประกบโมราต้าพลาดจนเสียลูกแรก แต่ทั้งเกมสามารถสกัดจังหวะสำคัญได้ตลอด
แยน แฟร์ทองเก้น 8
ยืนแนวรับได้แข็งแกร่ง เคลียร์บอลได้หลายจังหวะ เป็นหัวใจในแนวรับ
เบน เดวิส 7
ครึ่งแรกปล่อยให้โมเสส หลุดมาอยู่หลายครั้ง แต่ครึ่งหลังประกบได้แบบอยู่หมัด
เอริก ดายเออร์ 8
ตัดเกมแดนกลางของเชลซีได้แบบอยู่หมัด แถมจ่ายโยนบอลยาวให้อัลลี่เข้าไปทำประตูอย่างสวยงาม
มุสซ่า เด็มเบเล่ 7
ถึงแม้จะไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุดของเขา มีจ่ายบอลเสียบ้าง แต่สู้แดนกลางกับเชลซีได้ดี ใช้ความแข็งแกร่งได้เป็นประโยชน์
เอริค ลาเมล่า 7
ถึงจะมีบทบาทกับเกมรุกน้อย แต่ต้องชมความขยันวิ่งไล่บอลของเขา
เดเล่ อัลลี่ 9
ต้งอชมการสอดขึ้นมายิงทั้งสองลูกในช่วงท้ายเกม เป็น 2 ประตูสำคัญให้ไก่เดือยทองคว้าสามแต้มกลับ
คริสเตียน เอริคเซ่น 8.5
ลูกยิงไกลสุดสวยของเขาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม มีบทบาทในเกมรุกอย่างมาก
ซน เฮือง มิน 7
มีโอกาสได้ยิงบ้างแต่ติดเซฟของกาบาเยโร่ วันนี้ดุทำเกมรุกไม่ค่อยถนัดเท่าที่ควร เพราะต้องเล่นตำแหน่งไม่ถนัด
ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม
แฮร์รี่ เคน 6
ลงมาช่วง 15 นาทีสุดท้าย วิ่งบีบผุ้เล่นเชลซีตลอด
วิคเตอร์ วานยาม่า
ไม่มีคะแนน
มุสซ่า ซิสโซโก้
ไม่มีคะแนน
ที่มา : siamsport