คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แข้งคนดังของ เรอัล มาดริด กอดปลอบใจ จานลุยจิ บุฟฟ่อน มือกาว ยูเวนตุส หลังจบเกมที่ “ราชันชุดขาว” ผ่านเข้ารอบตัดเชือกของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ โดยทั้งสองคนพูดกันแบบเป็นมิตรด้วย
ตอนแรกเกมนี้ทำท่าว่าจะต้องไปวัดกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษแล้ว หลังจากที่ในนัดสอง ยูเวนตุส นำไปก่อน 3-0 จนทำให้สกอร์รวม 2 นัดเสมอกัน 3-3 แต่ในช่วงท้ายเกม เรอัล มาได้ลูกจุดโทษจากจังหวะที่ ลูกัส บาซเกซ ดาวเตะของเจ้าถิ่นโดน เมห์ดี้ เบนาเตีย ผลักจนล้มลงในกรอบเขตโทษ
ทั้งนี้ บรรดาแข้ง ยูเวนตุส ไม่พอใจกับคำตัดสินนี้มากๆ จนเข้าไปรุมประท้วงกรรมการ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ อย่างหนัก ซึ่งสุดท้าย บุฟฟ่อน ก็ถึงขั้นโดนใบแดงไล่ออกจากสนามเพราะประท้วงรุนแรงเกินไป และ โรนัลโด้ ก็สังหารลูกจุดโทษดังกล่าวเข้าไปอย่างเฉียบขาด จนทำให้ เรอัล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศจากการชนะด้วยสกอร์รวม 2 นัด 4-3
หลังจบเกมแล้วนั้น บุฟฟ่อน ก็ถูกสื่อรุมสัมภาษณ์ทันที เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เขาจะเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพหลังจบฤดูกาลนี้ และในตอนที่เขากำลังให้สัมภาษณ์อยู่นั้น โรนัลโด้ ก็เดินผ่านมาพอดี ดาวเตะชาวโปรตุกีสเลยตัดสินใจสวมกอดอีกฝ่ายเพื่อเป็นการปลอบเขา โดยทั้งสองคนพูดอะไรกันนิดหน่อยด้วย ก่อนที่อดีตแข้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเดินจากไป ซึ่งนี่นับเป็นการบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งคู่ไม่มีความบาดหมางต่อกันแต่อย่างใด
ที่มา : siamsport
จานลุยจิ บุฟฟ่อน นายทวารตัวเก๋า “เจ้าม้าลาย” ยูเวนตุส สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา ออกมากล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า เขาคิดว่าผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ เหมือนกับสัตว์มากกว่าคน หลังจากเป่าจุดโทษให้ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยอดทีมสเปน ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ที่ต้นสังกัดบุกไปเอาชนะ 3-1 ถึงซานติอาโก เบร์นาเบว เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
เกมนี้ ยูเว่ มีลุ้นที่จะยื้อออกไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ เมื่อพวกเขาขึ้นนำ เรอัล มาดริด ถึง 3-0 ทำให้รวมผล 2 นัดเสมอกัน 3-3 แต่เมื่อถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เชิ้ตดำจากอังกฤษก็มาเป่าให้จุดโทษกับเจ้าถิ่น ซึ่งทำให้ บุฟฟ่อน ฉุนขาดกับคำตัดสินนี้และต่อว่า โอลิเวอร์ อย่างหนักจนทำให้เขาถูกใบแดงไล่ออก ก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หัวหอก “ราชันชุดขาว” จะสังหารเข้าไปทำให้จบเกมยอดทีมแห่งสเปนชนะด้วยสกอร์รวม 4-3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ
“จิตใจของผู้ตัดสินเหมือนกับถังขยะ ถ้าคุณเลวถึงขนาดให้จุดโทษแบบนั้นได้ คุณก็ไม่ใช่คนแล้ว คุณเป็นสัตว์ชัดๆ เราทำสิ่งที่มันดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ น่าเศร้าที่มันจบลงแบบนี้ มันมีความน่าจะเป็นจุดโทษแค่ 1 ใน 10 เท่านั้น” โกลวัย 40 ปี ที่อาจลงเล่นในเกมยุโรปเป็นนัดสุดท้ายแล้ว กล่าว
ที่มา : siamsport
มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เฮดโค้ชชาวอิตาเลียนของ ยูเวนตุส เชื่อว่า ทีมของเขาสมควรที่จะได้ไปลุ้นต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ สำหรับเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ เลกสอง ที่ “ม้าลาย” บุกไปเอาชนะ เรอัล มาดริด 3-1 เมื่อวันพุธที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา แต่ต้องเป็นฝ่ายตกรอบด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-4
ยูเว่ ที่เกมแรกแพ้คาบ้าน 0-3 สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ ด้วยการบุกมาขึ้นนำ เรอัล มาดริด 3-0 จากผลงานของ มาริโอ มานด์ซูคิช ที่เหมาสองตุงในนาทีที่ 2 กับ 37 และ แบลส มาตุยดี้ อีกลูกในนาทีที่ 61 ซึ่งเกมทำท่าว่าจะต้องยืดเยื้อและไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษอยู่แล้ว แต่กลายเป็น “ราชันชุดขาว” ที่มาได้ลูกจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จากจังหวะที่ ลูกัส บาซเกซ ถูก เมห์ดี้ เบเนาเตีย เข้ากระแทกจากข้างหลัง และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซัดลูกโทษเข้าไป ช่วยให้แชมป์เก่าทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศแบบสุดระทึก ขณะที่ อัลเลกรี รู้สึกเสียดายที่ ยูเว่ ต้องมาตกรอบแบบนี้
“ผมไม่อยากไปตัดสินการทำหน้าที่ของกรรมการ ผมรู้สึกแย่แทนลูกทีม เพราะพวกเขาทำได้ดีร่วมๆ 60 นาทีในเกมที่ ตูริน แค่วันนั้นทำประตูไม่ได้เหมือนกับวันนี้ จุดโทษที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ฮวน กวาดราโด้ ในเกมเลกแรกเลย ซึ่งผมก็พูดตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า จังหวะนี้มันอาจจะมีส่วนในการตัดสินทีมเข้ารอบได้เลย”
“สำหรับวันนี้อย่างน้อยๆ เราก็สมควรได้ไปลุ้นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ เพราะเรายังเหลือโควตาเปลี่ยนตัวอีกตั้งสองคน ซึ่งมันอาจจะเป็นส่วนสำคัญในช่วงต่อเวลาพิเศษได้เลย” นายใหญ่ ยูเวนตุส วัย 50 ปี กล่าว
ที่มา : siamsport
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกจอมถล่มประตูของ ลิเวอร์พูล ขยับตัวทันทีหลังทราบข่าวที่ แฮร์รี่ เคน กองหน้าท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้รับเครดิตเป็นคนทำประตูในแมตช์ชนะ สโต๊ค ซิตี้ 2-1 เกมลีกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ประเด็นปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากจังหวะที่ คริสเตียน อีริคเซ่นเปิดลูกฟรีคิกจากฝั่งซ้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษ โดยที่ เคน พยายามขึ้นโขกก่อนที่บอลจะเข้าประตูไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการแข่งขันยกให้ประตูดังกล่าวเป็นของ มิดฟิลด์ชาวเดนมาร์ก
ต่อมา หัวหอกไก่เดือยทอง ยืนยันว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่สัมผัสบอล ขณะที่ต้นสังกัดได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์เพื่อให้มีการเปลี่ยนชื่อ เคน ได้เครดิตเป็นคนทำประตู
ล่าสุด พรีเมียร์ลีก ได้ยืนยันคำตัดสินแล้วว่า เคน เป็นคนสุดท้ายที่สัมผัสบอล และนั่นทำให้เขาได้รับเครดิตเป็นผู้ทำประตู ซึ่งส่งผลให้ ดาวยิง “ไก่เดือยทอง” มีสถิติยิงประตูเพิ่มเป็น 25 ลูกตามหลัง ซาลาห์ ที่กำลังนำเป็นดาวซัลโวลีกเมืองผู้ดี แค่เพียง 4 ประตูเท่านั้น
ทั้งนี้ ทันทีที่พรีเมียร์ลีกประกาศคำตัดสินดังกล่าว อีกเพียงไม่กี่นาทีต่อมา ซาลาห์ ก็แสดงความเห็นใน ทวิตเตอร์ ด้วยข้อความสั้นๆว่า “วู้ววว จริงเหรอ!?!”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าข้อความดังกล่าวของซาลาห์ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด แต่แฟนบอลต่างเชื่อว่าต้องเกี่ยวข้องกับเคสของเคน อย่างแน่นอน
ที่มา : siamsport
เปิดฉากมา เจ้าถิ่นลุยแหลก และเกือบขึ้นนำในน.12 เมื่อ ไดกิ ซูงะ หลุดขึ้นไปทางซ้ายสุดเส้นก่อนเปิดให้ โคจิ มิโยชิ แปเข้าประตู แต่ผู้ตัดสินยกธงเป็นลูกล้ำหน้าไปเสียก่อน
ผ่านมาถึง น.15 โชนัน ทีมเยือนได้ลุ้นบ้างจากจังหวะซัดในกรอบของ ซึกาสะ อูเมซากิ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับ กู ซัง ยุน เซฟไว้ได้
คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ลุยแหลก น. 18 โคจิ มิโยชิ หลุดไปซัดเน้นๆ แต่ โยตะ อากิโมโตะ ผู้รักษาประตู โชนัน เซฟได้อย่างหวุดหวิด
นาทีถัดมา ชนาธิป เกือบสร้างชื่ออีก จากจังหวะที่ เคน โทคุระ โหม่งชงให้ เจ สอดขึ้นมาอัดเน้นๆ ด้วยขวาในระยะเผาขน แต่กองหลังทีมเยือน พุ่งขวางไว้ได้ทัน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
คอนซาโดเล่ ซัปโปโร: กู ซัง ยุน, เรียวสุเกะ ชินโดะ, คิม มิน แต, อากิโตะ ฟุกุโมริ, โยชิอากิ โคมาอิ, ฮิโรกิ มิยาซาว่า, ทาคูมะ อาราโนะ, ไดกิ สุงะ, โคจิ มิโยชิ, ชนาธิป สรงกระสินธ์, เคน โทคุระ
สำรอง: ทากาโนริ ซูเกโนะ, นาโอกิ อิชิคาว่า, เรียวตะ ฮายาซากะ, ชินโกะ เฮียวโดะ, จูลินโญ่, โจนาธาน เฮส, ทาคุมิ มิยาโยชิ
โชนัน เบลล์มาเร่: โยตะ อากิโมโตะ, มิกิ ยามาเนะ, อังเดร บาเอีย, คาซูนาริ โอโนะ, ทาคูยะ โอกาโมโตะ, โทชิกิ อิชิคาวะ, ไดกิ ซูกิโอกะ, เรียว ทาคาฮาชิ, ซึกาสะ อูเมซากิ, ลี จอง เฮียบ, จิน ฮานาโตะ
สำรอง: มาซากิ โกโตะ, ซิโยชิ ชิมามูร่า, เทมมะ มัตสึดะ, มิคิช, เรียวโนสุเกะ โนดะ, อเล็น สเตวาโนวิช, คาโอรุ ทาคายาม่า
ที่มา : Siamsport
สนาม : ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
”ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด เลกแรกบุกไปเอาชนะ ยูเวนตุส มาก่อนถึง 3-0 โดยได้ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิง 2 ประตู ก่อนจะได้ มาร์เซโล่ ทำประตูปิดท้าย โอกาสเข้ารอบสดใสทีเดียว
ผลงานในลา ลีกา ล่าสุด โรนัลโด้ ยิงประตูที่ 40 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ให้ทีมออกนำ แอต.มาดริด ก่อนที่จะโดน อองตวน กรีซมันน์ ยิงตีเสมอ 1-1 ในศึก ”เดร์บี้ มาดริเลนโญ่” รั้งเป็นอันดับ 4 ของตาราง
ข่าวร้ายของ ซีเนดีน ซีดาน ก็คือจะหมดสิทธิ์ใช้งาน เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังกัปตันทีม ติดโทษแบนหลังสะสมใบเหลืองครบโควตา
นอกจากนี้ นาโช่ เฟร์นานเดซ เซนเตอร์แบ็ก แบ็กอัพเบอร์หนึ่งของทีมมีอาการบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เกมนี้น่าจะได้เห็น เฆซุส บาเยโฆ่ กองหลังดาวรุ่งลงสนามเคียงข้าง ราฟาแอล วาราน
ดาวเตะตัวจริงที่ได้พักในเกมกับตราหมีอยาง กาเซมีโร่, โทนี่ โครส, อีสโก้ และ ลูก้า โมดริช เตรียมคืนสนามทั้งหมด เช่นเดียวกับ คาริม เบนเซม่า ที่จะประสานงานแดนหน้ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ฟาก ”ม้าลาย” ยูเวนตุส เกมที่แล้วแพ้คาบ้าน 0-3 โอกาสเข้ารอบริบหรี่ ขณะที่ผลงานในลีกยังยอดเยี่ยมต่อเนื่อง ล่าสุดบุกถล่มทีมบ๊วยอยาง เบเนเวนโต้ 4-2 จากแฮตทริกของ เปาโล ดีบาล่า และอีกลูกจาก ดั๊กลาส คอสต้า
มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี เจอกับข่าวร้ายเมื่อ เปาโล ดีบาล่า กองหน้าตัวเก่งโดนไล่ออกจากสนามในเลกแรก เกมนี้ติดโทษแบน เช่นเดียวกับ โรดรีโก้ เบนตานชูร์ กองกลางที่สะสมใบเหลืองครบโควตา
อย่างไรก็ตาม ยังพอมีข่าวดีที่ได้ตัว มิราเล็ม ปานิช ห้องเครื่องตัวเก่ง และ เมห์ดี้ เบนาเตีย กองหลังพ้นโทษแบนกลับมา
เบนาเตีย จะกลับมาเป็นคู่เซนเตอร์กับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ทันทีในวันที่ อันเดรีย บาร์ซายี่ มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิต
ปานิช จะกลับมาประสานงานแดนกลางกับ ซามี่ เคดิร่า ส่วนพื้นที่แดนหน้าใช้ มาริโอ มานด์ซูคิช ลงแทนที่ของ ดีบาล่า
แกนหลักที่ได้พักในเกมล่าสุดอย่าง จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ดั๊กลาส คอสต้า และ กอนซาโล่ อิกวาอิน เตรียมคืนทัพทั้งหมด
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
เรอัล มาดริด (4-3-1-2) : เกย์ลอร์ นาวาส – ดานี่ การ์บาฆาล, ราฟาแอล วาราน, เฆซุส บาเยโฆ่, มาร์เซโล่ – ลูก้า โมดริช, กาเซมีโร่, โทนี่ โครส – อีสโก้ – คาริม เบนเซม่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้
เทรนเนอร์ : ซีเนดีน ซีดาน
ยูเวนตุส (4-2-3-1) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน – มัตเตีย เด ชีโย่, เมห์ดี้ เบนาเตีย, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, ควัดโว่ อาซาโมอาห์ – ซามี่ เคดิร่า, มิราเล็ม ปานิช – ดั๊กลาส คอสต้า, มาริโอ มานด์ซูคิช, อเล็กซ์ ซานโดร – กอนซาโล่ อิกวาอิน
เทรนเนอร์ : มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี
ผู้ตัดสิน : ไมเคิ่ล โอวิเลอร์ (อังกฤษ)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– ราชันกำลังจะลุ้นเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน โดยนี่จะเป็นหนที่ 21 ที่เจอกันของทั้งสองทีม ซึ่งครั้งที่ 19 นั้นเป็นการเจอกันตอนนัดชิงที่คาร์ดิฟฟ์ เมื่อ 3 มิถุนายน 2017 เรอัล มาดริด อัดยูเว่ 4-1 ได้แชมป์สมัยที่ 12 ทำลายอาถรรพ์เป็นแชมป์เก่าที่ป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ และตอนนี้ลุ้นแชมป์สมัยสามติดต่อกัน
– คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงสองเม็ดในเกมแรกที่ชนะ 3-0 ถือว่ายุติสถิติ 27 เกม หรือ 5 ปี ที่ยูเว่ไม่แพ้ใครในบ้านเกมยุโรปด้วย
– ยูเวนตุสชนะในหนสุดท้ายที่ต้องเตะแบบสองนัดเมื่อเจอกับมาดริด ในรอบรองปี 2014/15
– 20 หนที่เจอกันก่อนหน้านี้ในยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งตอนนี้ราชันนะไป 10, ยูเว่ ชนะ 8, เสมอ 2, มาดริดยิงได้ 25, ยูเว่ยิงได้ 22
– โรนัลโด้ยิงได้ตลอดทั้ง 6 เกมให้กับเรอัล มาดริด เมื่อเจอกับยูเวนตุส รวมแล้ว 9 เกม ที่สำคัญตอนนี้เขายิงในแชมเปี้ยนส์ ลีก ทำสถิติ 10 นัดติดต่อกัน
– มาดริดชนะ 5 จาก 8 เกมในบ้านเมื่อเจอกับยูเว่ โดยเสมอ 1 และแพ้ 2
– สถิติของมาดริดในยูโรเปี้ยน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศเล่นรอบนี้ 35 หนแล้ว มากกว่าทีมไหน โดยชนะ 28 แพ้แค่ 6
– มาดริดถูกโฉลกชนะทั้ง 6 เกมเมื่อเจอกับสโมสรจากอิตาลี ทั้งการพบกับยูเว่ รวมถึงนาโปลีด้วย แถมพวกเขาชนะ 34 จาก 40 เกมหลังในแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่บ้านตัวเอง แพ้แค่หนเดียวคือ 3-4 ต่อชาลเก้ ในรอบ 16 ทีมนัดสอง ปี 2014/15 แต่ก็ยังเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-4
– มาดริดแพ้แค่ครั้งเดียวจาก 32 หนถ้วยยุโรปก่อนหน้านี้ที่พวกเขาชนะในเกมแรกก่อน นั่นคือพ่ายต่อ โอเดนเซ่ ตอนปี 1994/95
– สถิติการยิงจุดโทษในถ้วยยุโรปของราชันอยู่ที่ ชนะ 2, แพ้ 2
– ส่วนยูเวนตุส นี่คือรอบก่อนรองในยูโรเปี้ยน คัพ หนที่ 18 ก่อนหน้านี้ชนะ 12, แพ้ 5
– สถิติเตะแบบสองนัดของยูเว่เมื่อเจอกับทีมจากสเปนคือ ชนะ 9, แพ้ 6 หนล่าสุดก็คือชนะบาร์ซ่ารอบนี้เมื่อซีซั่นก่อนสกอร์รวม 3-0
– สถิติของยูเว่เจอกับทีมจากสเปนในถ้วยยุโรปคือ 57 เกม ชนะ 19, เสมอ 15, แพ้ 23, ยิงได้ 62, เสีย 65 ลูก
– การแพ้นัดแรก 0-3 ถือว่ายับที่สุดของยูเว่ในบ้านเกมยุโรป เท่ากับตอนที่แพ้ 0-3 ต่อผีแดงเมื่อปี 2002/03 และ 1-4 ต่อเสือใต้ ในเกมนัดที่ 6 ของปี 2009/100
– สถิติของยูเว่ในการดวลจุดโทษคือ ชนะ 3, แพ้ 3
– เซร์คิโอ รามอส เกมนี้จะติดแบนหลังจากโดนจดชื่อที่ตูริน ส่วน มาเตโอ โควาซิช ต้องระวังใบเหลืองไม่เช่นนั้นจะติดแบนถ้าเข้ารอบ ส่วนฝั่งยูเว่ไม่มี เปาโล ดีบาล่า ที่ติดแบน เช่นกันกับ โรดริโก เบนตานคูร์ แต่ได้ มิราเล็ม ปานิช กับ เมห์ดี้ เบนาเตีย พ้นโทษ ส่วน จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กับ อเล็กซ์ ซานโดร ต้องระวังเหลืองไม่เช่นนั้นจะติดแบนถ้ายูเว่พลิกเข้าตัดเชือกได้
– เรอัล มาดริด ยิงอย่างน้อย 2 เม็ด ใน 18 จาก 22 เกมหลังแชมเปี้ยนส์ ลีก
– เรอัล มาดริด ชนะ 8 จาก 10 เกมหลังแชมเปี้ยนส์ ลีก
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 6 เกมหลังของมาดริดในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– ราชันมีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 6 จาก 7 เกมหลังที่เจอกับยูเว่นับทุกรายการ
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 3 เกมหลังสุดที่ยูเว่เตะในแชมเปี้ยนส์ ลีก
ที่มา : Siamsport
สนาม : อัลลิอันซ์ อารีน่า
จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เทรนเนอร์บาเยิร์น มิวนิค พาทีมบุกไปเชือดเซบีย่า 2-1 ในนัดแรก ก่อนถล่มเอาก์สบวร์ก 4-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 3 นัดติด พร้อมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาซีซั่นนี้เป็นที่เรียบร้อย 6 สมัยติดต่อกัน เหลือแค่รอรับถาดเท่านั้น
สภาพทีมเกมนี้ ไฮย์เกสต้องลุ้นอาการบาดเจ็บของอาร์ตูโร่ วิดัล (เข่า) และ ดาวิด อลาบา (หลัง) แต่ก็โอกาสชวดมีสูง ขณะที่ คิงส์เล่ย์ โกมัน (ข้อเท้า) และ มานูเอล นอยเออร์ (เข่า) ที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้วยังชวดเหมือนเดิม
พวกแกนหลักที่ถูกพักไว้อย่าง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฆาบี มาร์ติเนซ, ติอาโก้ อัลกานตาร่า, โธมัส มุลเลอร์, ฟร้องค์ ริเบรี่ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ต่างพร้อมรีเทิร์น
ทว่าทั้งเลวานดอฟสกี้, โจชัว คิมมิช, โกร็องแต็ง โตลิสโซ่, เจอโรม บัวเต็ง และ เซบาสเตียน รูดี้ ที่ติดคาดโทษอยู่ ก็ต้องระวังหากโดนจดชื่อเพิ่ม เพราะถ้าเข้ารอบก็จะอดเล่นรอบตัดเชือก นัดแรกทันทีนั่นเอง
ขณะที่ วินเชนโซ่ มอนเตลล่า เทรนเนอร์เซบีย่า พาทีมแพ้บาเยิร์น มิวนิคไปก่อน 1-2 ในนัดแรก ก่อนแพ้เซลต้า บีโก้เละ 0-4 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการแพ้ 2 นัดติด
สภาพทีมเกมนี้ มอนเตลล่าจะได้เอเวร์ บาเนก้า มิดฟิลด์ตัวสำคัญพ้นโทษแบนกลับมา แต่ต้องรอเช็กความฟิตของซิมง เคียร์, กาเบรียล เมร์กาโด้ และ เซบาสเตียง กอร์เชีย
ในรายของเมร์กาโด้, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่ และ วิสซาม เบน เยแดร์ ก็ต้องระวังตัว เพราะถ้าโดนจดชื่อเพิ่มก็จะหมดสิทธิ์เล่นรอบตัดเชือก นัดแรกทันที หากพลิกสถานการณ์เข้ารอบได้ฃ
ส่วนแนวรุกคาดว่าจะใช้ ปาโบล ซาราเบีย, ฟรังโก้ วาซเกซ, ฮัวกิน กอร์เรอา และ หลุยส์ มูเรียล เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันหวังพลิกกลับมาคว้าชัยให้ได้
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
บาเยิร์น มิวนิค (4-2-3-1) : สเวน อูลไรช์ – โจชัว คิมมิช, เจอโรม บัวเต็ง, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฆวน เบร์นาต – ฆาบี มาร์ติเนซ, ติอาโก้ อัลกานตาร่า – ฮาเมส โรดริเกซ, โธมัส มุลเลอร์, ฟร้องค์ ริเบรี่ – โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
เทรนเนอร์ : จุ๊ปป์ ไฮย์เกส
เซบีย่า (4-2-3-1) : เซร์คิโอ ริโก้ – เฆซุส นาบาส, ซิมง เคียร์, กเลมงต์ ล็องก์เล่ต์, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่ – สตีเว่น เอ็นซอนซี่, เอเวร์ บาเนก้า – ปาโบล ซาราเบีย, ฟรังโก้ วาซเกซ, ฮัวกิน กอร์เรอา – หลุยส์ มูเรียล
เทรนเนอร์ : วินเชนโซ่ มอนเตลล่า
ผู้ตัดสิน : วิลลี่ คอลลัม (สกอตแลนด์)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– นี่เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน ที่บาเยิร์นมาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยปีก่อนพ่ายต่อ เรอัล มาดริด รวม 2 นัด 3-6 หยุดที่ตรงนี้ และเป็นครั้งที่ 29 ของสโมสร มีเพียงเรอัล มาดริด ที่มาถึงรอบนี้ได้มากกว่า คือ 35 หน ส่วนเซบีย่ามาถึงรอบก่อนรองฯ เป็นครั้งแรก นับแต่ที่เคยทำได้ครั้งเดียว เมื่อ 60 ปีก่อน
– นี่เป็นครั้งแรกที่บาเยิร์น เจอกับเซบีย่า แม้ว่า 4 ซีซั่นหลังพวกเขาจะตกรอบด้วยน้ำมือสโมสรจากสเปน (เรอัล มาดริด, บาร์ซ่า, แอตเลติโก มาดริด และเรอัล มาดริด ปีก่อน โดยสามหนแรกเป็นรอบรองชนะเลิศ) แต่ทีมจากมิวนิคแข็งแกร่งที่บ้านเมื่อเจอกับทีมลา ลีกา
– สถิติของบาเยิร์นในรอบก่อนรองชนะเลิศรายการนี้คือ ชนะ 18 แพ้ 10
– บาเยิร์นเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก (นับเฉพาะ) ถึง 17 ครั้ง มากกว่าทีมไหน ส่วนบาร์ซ่ากับราชันอยู่ที่ 16 หน
– เสือใต้มีสถิติรวมเจอกับทีมจากลา ลีกา ที่มิวนิค คือ ชนะ 18, เสมอ 5, แพ้ 3
– เสือใต้แพ้แค่ครั้งเดียวจาก 24 เกมยูฟ่า ที่พวกเขาชนะในเกมเยือนก่อน นั่นคือพ่ายต่ออินเตอร์ มิลาน ปี 2010/11
– เสือใต้สถิติเล่น 2 นัดแบบเหย้า-เยือนเจอกับทีมจากสเปนคือชนะ 9, แพ้ 10 โดยหนล่าสุดคือแพ้ต่อเรอัล มาดริด ซีซั่นก่อน ในรัง 1-2 และ 4-2 หลังจากต่อเวลาพิเศษที่สเปน
– เสือใต้ชนะ 16 เกมรวดในบ้านยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงระหว่างวันที่ 17 กันยายน 2014 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2017 เป็นสถิติการแข่งขัน แต่ก็มาแพ้ต่อเรอัล มาดริด ในรอบก่อนรองฯ นี่แหละ
– สถิติการยิงจุดโทษของเสือใต้ในถ้วยยุโปรป คือชนะ 5, แพ้ 1
– เซบีย่าครั้งเดียวที่เคยมาถึงรอบก่อนรองก่อนหน้านี้คือปี 1957/58 ตอนนั้นแพ้ต่อ เรอัล มาดริด สกอร์รวม 2-10 (เยือน 0-8, 2-2 เหย้า) ซึ่งสกอร์ 08 ถือว่ายับที่สุดของเซบีย่าในถ้วยยุโรป และเป็นสกอร์ที่ห่างที่สุดในยูโรเปี้ยน คัพ รอบ 8 ทีม
– ครั้งสุดท้ายที่เซบีย่ามาเยือนเยอรมันคือแพ้ต่อ กลัดบัค 2-4 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เดือนพฤศจิกายน 2015
– สถิติเตะน็อกเอาต์แบบสองนัดของเซบีย่าเจอกับทีมจากเยอรมัน คือชนะ 3, แพ้ 2 แต่พวกเขามาเยือนเยอรมัน ชนะ 5 จาก 9 หน โดยเป็นการแพ้ 3 และเสมอ 1
– เซบีย่าแพ้แค่สองเกมจาก 12 เกมเยือนหลังในถ้วยยุโรป (ชนะ 4, เสมอ 6) โดยแพ้ที่สปาร์ตัก และเลสเตอร์
– สถิติการดวลจุดโทษของเซบีย่า ในถ้วยยุโรป คือชนะ 5, แพ้ 1
– จุ๊ปป์ ไฮย์เกส กุนซือเสือใต้เคยทำทีมในสเปนกับบิลเบา, เตเนรีเฟ่ และเรอัล มาดริด สถิติของเขาในการเจอกับเซบีย่า คือ ชนะ 5, เสมอ 3 แพ้ 4
– ฟร้องค์ ริเบรี่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, โยชัว คิมมิช, โกร็องแต็ง โตลิสโซ่, เยโรม บัวเต็ง และ เซบาสเตียน รูดี้ เป็น 6 นักเตะเสือใต้ที่ต้องระวังห้ามโดนเหลือง ไม่เช่นนั้นถ้าเข้ารอบจะติดแบนหนึ่งนัด
– ส่วนเซบีย่าได้ตัว เอแวร์ บาเนก้า พ้นโทษแบนกลับมา แต่ กีโด้ ปิซาร์โร่, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่, วิสซาม เบน เยแดร์, โจอากิน กอร์เรอา รวมถึง กาเบรียล แมร์คาโด้ ต้องระวังห้ามโดนเหลือง ไม่เช่นนั้นเข้ารอบก็จะติดแบนหนึ่งเกมเช่นกัน
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 13 เกมหลังสุดของบาเยิร์น ในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– เสือใต้ชนะ 7 เกมหลังสุดในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 9 จาก 11 เกมหลังสุดของเซบีย่า ในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– เสือใต้ยิงอย่างน้อย 2 เม็ด ใน 7 เกมหลังแชมเปี้ยนส์ ลีก
ที่มา : Siamsport
5. เจ้าหนูเทรนท์ตอกย้ำความเก่งกาจ
หากจะเลือกแนวรับที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดของคู่นี้ทั้งสองเกม ชื่อของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะต้องติดอยู่ด้วยแน่นอน
เจ้าหนูวัย 19 ปี ตามเล่นงานลีรอย ซาเน่ ทั้งสองเกมจนดาวเตะอินทรีเหล็กทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยทั้งสองเกม อาร์โนลด์ เป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลที่ตัดบอลได้มากที่สุดที่ 13 ครั้ง และเข้าปะทะสำเร็จถึง 7 ครั้งด้วยกัน
4. สเตอร์ลิ่งไม่เคยชนะลิเวอร์พูล
นับตั้งแต่ดึงราฮีม สเตอร์ลิ่ง มาจากลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 ยามใดที่แมนฯซิตี้ มีเขาอยู่ในสนามยามเจอหงส์แดง เรือใบสีฟ้า ไม่เคยเอาชนะลิเวอร์พูลได้เลยสักครั้ง ซึ่งในเกมลีกที่ชนะ 5-0 เกมนั้นก็ไม่มีเจ้าตัวอยู่ในสนาม
อีกหนึ่งที่ตอกย้ำสเตอร์ลิง คือ แม้เกมนี้เขาจะเป็นผู้แอสซิสต์ให้กับกาเบรียล เชซุส แต่นอกนั้นเขาสามารถยกระดับทีมได้เลย โดยมีเปอร์เซ็นต์ผ่านบอลสำเร็จเพียง 63 % และลูกครอสก็ไม่เข้าเป้าแม้แต่ครั้งเดียว
บางทีในเกมหน้าที่เจอกัน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงต้องเก็บสเตอร์ลิ่งไว้ที่บ้านเสียแล้ว
3. ลิเวอร์พูลบันทึกสถิติใหม่
จากชัยชนะในเกมนี้ทำให้เร้ด แมชชีน ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับทีมจากอังกฤษ นั่นคือการยิงในรายการนี้ ถึง 33 ลูก ทำลายสถิติเดิมของแมนฯยูไนเต็ด ที่เคยทำได้ 32 ประตู
ซึ่ง สามประสานแดนหน้าทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ทำรวมกันไปแล้ว 22 ลูกในรายการนี้ และรวมกันทุกรายการถึง 80 ประตูเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ทั้งฟีร์มีโน่ และซาลาห์ เป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลที่ยิงในรายการนี้มากที่สุด ที่จำนวน 8 ประตู
2. ฝันร้ายของเป๊ป
ตลอด 7 วันที่ผ่านมาคือช่วงเวลาอันโหดร้ายในชีวิตการเป็นกุนซือของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างแท้จริง การแพ้ลิเวอร์พูลในเกมนี้ทำให้หงส์แดงเป็นทีมแรกที่เอาชนะเป๊ป ได้ถึง 3 ครั้งในหนึ่งฤดูกาล
นอกจากนี้ การไปบ่นใส่ผู้ตัดสินในระหว่างเดินเข้าอุโมงค์ ยังทำให้เขาโดนไล่ขึ้นไปนั่งบนสแตนด์จนไม่สามารถแก้เกมข้างสนามได้
1. ซาลาห์ กับ 50 ประตู
หนึ่งประตูในเกมนี้ ทำให้ผลสกอร์รวมในฤดูกาลนี้ขยับไปที่ 39 ลูก และหากนับที่เจ้าตัวแอสซิสต์ให้เพื่อน 11 ลูก นั่นหมายความว่า ซาลาห์มีส่วนร่วมกับประตูของหงส์แดงไปแล้วถึง 50 ประตู
นอกจากนี้เขายังทาบชั้นกับ ซามูเอล เอโต้ ที่เป็นนักเตะแอฟริกันที่ยิงมากที่สุดในถ้วยนี้ต่อหนึ่งฤดูกาล 8 ประตู
ที่มา : siamsport
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นเกมได้ไม่ดีนักหลังเป็นฝ่ายตามหลังซิตี้ ไปก่อนตั้งแต่ช่วงสองนาทีแรก จากกาเบรียล เชซุส ซึ่งหลังจากนั้นรูปเกมของเจ้าถิ่นปูพรมบุกใส่หงส์แดงอย่างต่อเนื่องและมีโอกาสได้ประตูทิ้งห่าง 2-0 จากลูกยิงของลีรอย ซาเน่ แต่ไลน์แมน กลับยกธงเป็นลูกล้ำหน้าท่ามกลางความสงสัยของแฟนๆเรือใบสีฟ้า ทำให้จบครึ่งแรกแมนฯซิตี้ ยังนำ ลิเวอร์พูล 1-0
อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แก้เกมทำให้ทรงเกมของลิเวอร์พูลดีขึ้น ก่อนที่จะได้ประตูตีเสมอจากโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในนาที 56 และมาได้ประชัย 2-1 จากลูกยิงอันคมกริบของโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำให้รวมผลสองนัดลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ด้วยประตูรวม 5-1
ทั้งนี้ อดีตเทรนเนอร์ดอร์ทมุนด์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ บีที สปอร์ต ถึงเรื่องว่าได้พูดอะไรกับลูกทีมในระหว่างพักครึ่งแรกในห้องแต่งตัว โดยคล็อปป์ได้กล่าวว่า “ตนไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเสียประตูแรกอย่างรวดเร็ว แม้มันเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่เมื่อมันเกิดไปแล้วก็ต้องรับมือมันให้ได้”
“แต่ในช่วงแรกที่เสียประตู ดูเหมือนพวกเราจะยังไม่ค่อยโอเคกับมันเท่าไหร่” ซึ่งดูเหมือนว่าคล็อปก็ไม่ค่อยพอใจนักที่ลูกทีมกำลังตกอยู่ภายใต้เกมของซิตี้ “พวกเขาต้องการบอลจากเรา จนถึงขั้นจะต้องฆ่ากัน แต่เราก็เสียบอลให้เขามากเกินไป”
“เราจำเป็นต้องเล่นให้รัดกุมมากกว่านี้ และต้องสั่งเช็คล้ำหน้าให้ได้ดีขึ้น จากนั้นเราต้องเล่นฟุตบอลตามแบบฉบับของเรา ไม่ใช่ว่าจะต้องมองหาแต่ ซาลาห์ หรือ มาเน่ และเมื่อเริ่มต้นในครึ่งหลัง เด็กๆก็เล่นได้ตามแผน ซึ่งพวกเรารู้ว่าหากทำได้หนึ่งประตู บรรยากาศในสนามมันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” นายใหญ่แห่งแอนฟิลด์กล่าวปิดท้าย
ที่มา : siamsport
สนาม : สตาดิโอ โอลิมปิโก (โรม, อิตาลี)
โรม่า ทีมดังแห่งกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เปิด สตาดิโอ โอลิมปิโก กรุงโรม รับการมาเยือนของ บาร์เซโลน่า จ่าฝูงลา ลีกา สเปน ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 หลังจากเกมแรก บาร์ซ่า ชนะขาดลอย 4-1 ที่คัมป์ นู
ยูเซปิโอ ดิ ฟรานเชสโก้ กุนซือโรม่าได้ รัดย่า นาอิงโกลัน มิดฟิลด์ตัวหลักหายเจ็บต้นขา ลงสนามเคียงข้าง เควิน สตรอทมัน
ส่วน เออร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์บาร์ซ่าส่ง ลีโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า ลงล่าตาข่ายร่วมกับ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย
เกมครึ่งแรก ผ่านไปเพียง 6 นาที โรม่า นำ 1-0 อย่างรวดเร็ว ดานิเอเล่ เด รอสซี่ กองกลาง กัปตันทีมโยนบอลยาวจากวงกลมกลางสนามอย่างแม่นยำให้ เอดิน เชโก้ ดึงบอลลงด้วยเท้าขวา ก่อนดีดด้วยซ้ายในกรอบเขตโทษตุงตาข่าย นับเป็นประตูที่ 6 ในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 10 ของเขาในฤดูกาลนี้
นาที 25 เอดิน เชโก้ กองหน้าเจ้าถิ่น สบโอกาสตะบันเท้าขวาระยะ 20 หลา บอลข้ามคาน
กองเชียร์เจ้าถิ่นเกือบได้เฮ นาที 36 อเลซานโดร ฟลอเรนซี่ โยนจากปีกขวาไปที่เสาไกล เอดิน เชโก้ ขึ้นโหม่งเผาขนไปติด มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น นายทวารบาร์ซ่า ปัดบอลออกเส้นหลังไปอย่างหวุดหวิด
จบครึ่งแรก โรม่านำ 1-0
ครึ่งหลัง นาที 56 เคราร์ด ปีเก้ โดนใบเหลือง หลังจากไปดึง เชโก้ ล้มลงในกรอบเขตโทษ เกลม็องต์ ตูร์กแป็ง ผู้ตัดสินชาวฝรั่งเศสเป่าให้เจ้าถิ่นได้ลูกจุดโทษ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ยิงจุดโทษเท้าขวาตุงตาข่าย โรม่านำห่าง 2-0 เป็นลูกแรกของเขาในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 8 ในซีซั่นนี้
นาที 68 หมาป่าแห่งกรุงโรมบุกขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เฟเดริโก้ ฟาซิโอ โยนจากริมเส้นฝั่งซ้ายไปที่เสาสอง ดานิเอเล่ เด รอสซี่ โขก 6 หลา ไม่เข้ากรอบ
นาที 74 บาร์ซ่า ได้บอล อันเดรส อิเนียสต้า กัปตันทีมผ่านบอลให้ ลีโอเนล เมสซี่ ยิงเท้าซ้ายระยะ 20 หลาไปเข้าซอง อลิสซอน
ห้านาทีต่อมา โรม่า เกือบได้ประตูเพิ่ม ฟลอเรนซี่ โยนจากปีกขวาไปที่เสาสอง สเตฟาน เอล ชาราวี ตัวสำรองยิงเท้าซ้ายจ่อๆ ทว่า มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น ปัดบอลได้อย่างยอดเยี่ยม
และแล้วนาที 82 โรม่า นำห่าง 3-0 เกนกิซ อึนแดร์ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งขวาไปเข้าหัว คอสตาส มาโนลาส โหม่งที่เสาแรกตุงตาข่าย
จบเกม โรม่า ต้อน บาร์เซโลน่า 3-0 และเมื่อรวมผล 2 นัด ทั้งสองทีมเสมอกัน 4-4 และเป็น โรม่า ชนะด้วยกฏประตูทีมเยือน ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ส่วน บาร์ซ่า กระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างเหลือเชื่อ
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
โรม่า : อลิสซอน – คอสตาส มาโนลาส, เฟเดริโก้ ฟาซิโอ, ฮวน เชซุส – อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่ (กัปตันทีม), อเล็คซานดาร์ โคลารอฟ – รัดย่า นาอิงโกลัน, เควิน สตรอทมัน – เอดิน เชโก้, ปาทริค ชิค
สำรอง : ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ (ผู้รักษาประตู), ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่, เกนกิซ อึนแดร์, มักซีม โกนาลงส์, บรูโน่ เปเรส, แชร์ซอน, สเตฟาน เอล ชาราวี
บาร์เซโลน่า : มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น – เนลซอน เซเมโด้, เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อุมติตี้, จอร์ดี้ อัลบา – เซร์จี้ โรเบร์โต้, อีวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรส อิเนียสต้า (กัปตันทีม) – ลีโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ
สำรอง : ยาสเปอร์ ชิลเลสเซ่น (ผู้รักษาประตู), เดนิส ซูอาเรซ, อุสมาน เด็มเบเล่, เปาลินโญ่, ปาโก้ อัลกาเซร์, อันเดร โกเมส, โธมัส แฟร์มาเล่น
ผู้ตัดสิน : เกลม็องต์ ตูร์กแป็ง (ฝรั่งเศส)
ที่มา :Siamsport