แฟร์นันดินโญ่ กองกลาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงความมั่นใจว่าทีมของตนจะรับมือกับบอลยาวของ ลิเวอร์พูล ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัด 2 วันอังคารที่ 10 เมษายน นี้ ที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้อย่างแน่นอน หลังจากพลาดท่าแพ้ไปก่อนในนัดแรก 0-3 เมื่อวันพุธที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา ที่สนาม แอนฟิลด์
ดาวเตะทีมชาติบราซิล วัย 32 ปี กล่าวว่า “ตอนนี้คือเวลาที่นักเตะมากประสบการณ์ของทีมนี้จะต้องแบกรับภาระหน้าที่สำหรับความพยายามพลิกสถานการณ์ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนี้ให้ได้ เราทุกคนรู้ดีว่ามันไม่ง่ายที่จะพลิกสถานการณ์ แต่เรากำลังจะสู้เพื่อพลิกสถานการณ์ให้ได้”
“พวกเขาเป็นทีมที่ชอบเล่นบอลยาว, ฮือกันเข้ามาแย่งบอล และพวกเขาพยายามจะวางกำลังผู้เล่นไปทั่วแดนกลาง แต่ผมคิดว่าเรากำลังจะพร้อมสำหรับมันแล้วล่ะ” แฟร์นันดินโญ่ ระบุ
ที่มา : siamsport
ทีมของผมไม่ธรรมดา! เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ “เรือใบสีฟ้า” ปลุกเร้าแข้งในคาถาคายฟอร์มสุดยอดออกมาให้ได้เพื่อพลิกนรก เขี่ย “หงส์แดง” ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้จงได้ บอกต้องมองแง่บวก ยังมีอีก 90 นาทีอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กระตุ้นลูกทีมต้องเล่นอย่างสมบูรณ์แบบในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัด 2 ที่จะเปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม รับมือ ลิเวอร์พูล วันอังคารที่ 10 เมษายนนี้ หลังจากที่พลาดท่าบุกไปแพ้นัดแรก 0-3 ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันพุธที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา โดยยังคงเชื่อมั่นในทีมที่ “ไม่ธรรมดา” ของตัวเอง
นายใหญ่ “เรือใบสีฟ้า” ที่เพิ่งพาทีมแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คาบ้าน 2-3 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัด “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์” เมื่อวันเสาร์ที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ไปด้วยอีกนัด กล่าวว่า “หนทางเดียวที่จะเล่นฟุตบอลได้ดีก็คือมองในแง่บวก เพื่อที่จะผ่านเข้ารอบต่อไปได้ คุณต้องทำให้มันเป็นเกมที่สมบูรณ์แบบ, สร้างโอกาสให้ได้มากๆ และพลาดโอกาสให้น้อยๆ เข้าไว้ เมื่อเราฉวยโอกาสได้แล้ว เราจะต้องป้องกันให้ดีๆ ด้วย”
“เรามีเวลา 90 นาที และอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่เราต้องทำคือพยายาม เรามี 90 นาทีบวกช่วงต่อเวลาพิเศษ และเราเคยแสดงให้เห็นในปีนี้มาแล้ว แม้กระทั่งเกมล่าสุดว่าเราสามารถสร้างโอกาสได้อย่างมากมายในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้าย”
เมื่อถูกถามว่าสภาพจิตใจของลูกทีมเป็นอย่างไรบ้างแล้ว หลังแพ้ 2 นัดติดต่อกันในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น กวาร์ดิโอล่า ตอบว่า “ผมไม่รู้ แต่ถ้าเรารับมือในแง่จิตวิทยาไม่ได้ มันก็จะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับอนาคต มันคือการทด
สอบ ฟุตบอลก็เหมือนชีวิต ซึ่งก็คือความท้าทาย ทีมของผมไม่ธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
ที่มา : siamsport
5 ประเด็นเด่นก่อนเกมชปล. แมนซิตี้ ปะทะ ลิเวอร์พูล
5.อเกวโร่ ปะทะ ซาลาห์
เกมนี้หากไม่อะไรผิดพลาดแมนซิตี้น่าจะส่ง เซร์คิโอ เกวโร่ ลงเป็น 11 ตัวแรก หลังเจ้าตัวเพิ่งสลัดอาการบาดเจ็บ และกลับมาลงสนามในช่วงท้ายเกมที่ต้นสังกัดเปิดบ้านแพ้แมนยู 2-3 ในเกมลีกนัดล่าสุด
กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์น่าจะสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับหงส์แดงได้พอสมควร ซึ่งในเกมแรกจะเห็นได้ว่า กาเบรียล เฆซุส ไม่สามารถทดแทนได้แทบไม่มีส่วนร่วมกับเกม โดยฤดูกาลนี้ “เอลกุน” กระหน่ำไปแล้วถึง 30 ประตูทุกรายการ
ขณะที่ ซาลาห์ กำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม และมั่นใจสุดๆ หลังซัดไปแล้ว 39 ประตูทุกรายการ ซึ่งเกมแรกจะเห็นได้ว่าเขาสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับแมนซิตี้แค่ไหน ซึ่งทั้งสองคนน่าจะเป็นตัวแปสำคัญของเกมนี้
4.แท็คติก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ถือเป็นสุดยอดกุนซือที่ดีที่สุด เมื่อพูดถึงสไตล์การเล่นที่มีทีเด็ดในการบุก และการต่อบอลที่รวดเร็ว ซึ่งทั้งสองต่างมีสไตล์ที่ใกล้เคียงกัน
แน่นอนว่าเกมนี้ เป๊ป จะต้องปรับแท็คติกต่างจากเกมแรกพอสมควร หลังไม่สามารถเจาะแนวรับลิเวอร์พูลได้เลย บวกกับเกมรับที่อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงผู้เล่นบางตำแหน่งซึ่งเกมแรกจะเห็นได้ว่าผู้เล่นแนวรับมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยทำให้ทีมเสียประตูแบบไม่น่าให้อภัย รวมถึงการจับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ให้อยู่หมัด และเราน่าจะได้เห็นเรือใบสีฟ้าเปิดเกมรุกแบบไม่ลืมหูลืมตา
3.เควิน เดอ บรอยน์
มิดฟิลด์ชาวเบลเยียมถือเป็นแกนหลักในแดนกลางที่เป็นกำลังสำคัญช่วยทีมประสบความสำเร็จมากอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าหากเกมนี้เจ้าตัวเรียกฟอร์มเก่งออกมาน่าจะสามารถสร้างจุดเปลี่ยนของเกมได้เลย และจากการที่ทีมต้องเปิดเกมบุกใส่อย่างเต็มที่จะทำให้เขามีบทบาทกับทีมมากสุดในสนาม
2.ลิเวอร์พูล ไร้ ชาน-เฮนโด้
สภาพทีมเกมนี้ที่แน่ๆ คล็อปป์จะไม่มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ติดโทษแบน หลังสะสมใบเหลืองครบโควตา รวมไปถึงโฌแอล มาติป (ต้นขา), อดัม ลัลลาน่า (เอ็นหลังหัวเข่า),โจ โกเมซ (ข้อเท้า) และ เอ็มเร่ ชาน (หลัง) ที่บาดเจ็บทั้งหมด
เกมแรกแม้จะไม่มี ชาน แต่ เฮนเดอร์สัน ก็สามารถเล่นทดแทนได้อย่างไร้ข้อกังขา ประสานงานร่วมกับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ เจมส์ มิลเนอร์ ในแดนกลางอย่างลงตัว แต่เกมนี้จะไม่มี เฮนโด้ มาช่วยเล่นเกมรับ โดยจะเป็น จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ที่จะถูกส่งลงมาแทน ซึ่งจุดนี้เองอาจทำให้เกมรับของหงส์แดงมีประสิทธิภาพที่ลดลงไป
1.สภาพความฟิตของทั้งสองทีม
แม้แมนซิตี้ จะดร็อปผู้เล่นตัวหลักไว้บนม้านั่งสำรองในเกมกับแมนยูเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทั้ง เควิน เดอ บรอยน์, กาเบรียล เฆซุส, เซร์คิโอ อเกวโร่ และ ไคล์ วอล์คเกอร์
อย่างไรก็ตาม หลังจากแมนซิตี้ โดนตีเสมอ 2-2 ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จำเป็นต้องส่งผู้เล่นตัวหลักลงมาบดสู้เพื่อหวังทวงประตูคืนจากแมนยูให้ได้ โดยเฉพาะ อเกวโร่ ที่เพิ่งหายเจ็บยังไม่ฟิตสมบูรณ์ ทำให้นักเตะเหล่านี้ไม่ได้พักอย่างเต็มที่เพื่อเก็บแรงไว้อัดกับลิเวอร์พูลแบบเต็มสูบ นี่จึงเป็นเรื่องที่หงส์แดงน่าจะได้เปรียบอยู่พอสมควร
ที่มา : siamsport
สนาม: เร้ด บูลล์ อารีน่า, (ไลป์ซิก)
แอร์เบ ไลป์ซิก เจ้าบ้านภายใต้การคุมทัพของราล์ฟ ฮาเซ่นฮึทเทิ่ล วาง ยุสซุฟ โพลเซ่น ยืนหน้าคู่กับ ติโม แวร์เนอร์
ส่วน “ห้างยา” ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ยังไม่มี ลูคัส อลารีโอ ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ ที่ติดค้างโทษแบน โดยจัดสามประสานแดนหน้า ไค ฮาแวร์ตซ์, เควิน โฟลลันด์ และ ยูเลี่ยน บรันด์ท ลงกระซวกตาข่าย
เปิดเกมครึ่งแรกมาได้ 4 นาที เลเวอร์คูเซ่น ได้โอกาสก่อนจากจังหวะที่ โยนาธาน ทาห์ ขึ้นโขกลูกฟรีคิกให้กับ ยูเลี่ยน บอย์มการ์ตลิงเกอร์ โหม่งในกรอบเขตโทษ แต่ ปีเตอร์ กูลัคซี่ นายทวารของแอร์เบ ไลป์ซิก ปัดทิ้งออกหลังไปได้ทัน
ผ่านมา 17 นาที แอร์เบ ไลป์ซิก มาได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 จากจังหวะที่ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ กระดกบอลขึ้นหน้าให้ ยุสซุฟ โพลเซ่น โขกชงกลับมาให้ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ วิ่งมาง้างเท้าวอลเลย์ด้วยขวาบอลเสียบเสาซ้ายเข้าประตูไปสุดงาม
สองนาทีต่อมา เลเวอร์คูเซ่น จำเป็นต้องเปลี่ยนเอา พานาจิโอติส เร็ตซอส ลงเล่นแทน สเวน เบนเดอร์ ที่มีอาการบาดเจ็บ
ครึ่งชั่วโมงของเกมการแข่งขัน ห้างยา บุกขึ้นมาทาง ไค ฮาแวร์ตซ์ จ่ายทะลุให้กับ ยูเลี่ยน บรันด์ท ซัดด้วยขวาในกรอบเขตโทษติดเซฟของ ปีเตอร์ กูลัคซี่ นายทวารไลป์ซิก
นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก ห้างยา ตามตีเสมอ 1-1 เมื่อโต้กลับเร็วขึ้นมาทาง เลออน ไบลี่ย์ กระชากขึ้นทางกราบขวา ก่อนโยนเข้ากลางให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่เติมขึ้นมาวอลเลย์ด้วยซ้าย บอลโดนหน้าแข้ง แต่ทิศทางดีเบียดเสาซ้ายเข้าไป หมดครึ่งแรกเสมอกันอยู่ 1-1
มาเล่นกันต่อในครึ่งหลังได้แค่ 6 นาที เลเวอร์คูเซ่น มาได้ประตูแซงนำ 2-1 เมื่อ แบร์นด์ เลโน่ ผู้รักษาประตูเตะเปิดเกมยาวขึ้นหน้าให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ขึ้นโหม่งเช็ดให้ เควิน โฟลลันด์ จับบอลกระฉอกมาเข้าทางของ ยูเลี่ยน บรันด์ท สับด้วยซ้ายทันทีส่งบอลเสียบมุมขวาเข้าไป
กระเถิบมานาทีที่ 56 ห้างยา มาได้ประตูนำห่าง 3-1 จากจังหวะที่เปิดฟรีคิกจากกราบซ้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ปราการหลังของไลป์ซิก โหม่งสกัดมาเข้าทาง พานาจิโอติส เร็ตซอส ของเลเวอร์คูเซ่น ที่ยืนอยู่เสาสอง ตะบันด้วยขวาบอลติดไซด์ก้อยนิดๆ เสียบเสาแรกเข้าไป และเป็นประตูแรกของเร็ตซอส ในบุนเดสลีกา ซีซั่นนี้
เขยิบมานาทีที่ 63 ทีมเยือนจำเป็นต้องเปลี่ยน เวนเดลล์ ที่ข้อเท้าซ้ายบิดออกมาพักแล้วส่ง
เบนยามิน เฮนริคส์ ลงมาเล่นแทน
หกนาทีต่อมา เลเวอร์คูเซ่น นำขาด 4-1 เมื่อ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ กองหลังไลป์ซิก เปิดบอลพลาดโดนทีมเยือนตัดได้ ก่อนบอลมาถึง ยูเลี่ยน บรันด์ท เปิดจากกราบขวาเข้ามาให้ เควิน โฟลลันด์ ยิงด้วยซ้ายจากกลางกรอบเขตโทษ บอลเสียบมุมขวาเข้าไป และเป็นประตูที่ 11 ของโฟลลันด์ ในบุนเดสลีกา ซีซั่นนี้
ล่วงเลยมานาทีที่ 79 เลเวอร์ฯ ยังไม่เพลาเกมรุก ยูเลี่ยน บรันด์ท จ่ายให้กับ เบนยามิน เฮนริคส์ ยิงด้วยซ้ายจากทางกรอบเขตโทษด้านขวา เล่นเอา ปีเตอร์ กูลัคซี่ นายทวารไลป์ซิก ต้องปัดทิ้งออกหลังไป
เวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันอีกไม่ได้ จบเกม เลเวอร์คูเซ่น ยกพลบุกมาถล่ม แอร์เบ ไลป์ซิก 4-1 เก็บสามแต้มสำคัญ เขยิบแซงขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ของตารางแล้ว
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แอร์เบ ไลป์ซิก: ปีเตอร์ กูลัคซี่ – ลูคัส คลอสเตอร์มันน์, วิลลี่ ออร์บาน, ดาโยต์ อูปาเมกาโน่, แบร์นาร์โด้ – เควิน คัมเพิ่ล, นาบี เกอีต้า (สเตฟาน อิลซานเคอร์ น.76) – มาร์เซล ซาบิตเซอร์, เอมิล ฟอร์สเบิร์ก – ยุสซุฟ โพลเซ่น (บรูม่า น.56), ติโม แวร์เนอร์ (อเดโมล่า ลุคแมน น.69)
สำรองไม่ได้ใช้: อีฟยง เอ็มโวโก้ (ผู้รักษาประตู) – อิบราฮิม่า โกนาเต้, ฌอง-เควิน โอกุสแต็ง, ดีเอโก้ เด็มเม่
เลเวอร์คูเซ่น: แบร์นด์ เลโน่ – โยนาธาน ทาห์, สเวน เบนเดอร์ (พานาจิโอติส เร็ตซอส น.19), เวนเดลล์ (เบนยามิน เฮนริคส์ น.63) – ลาร์ส เบนเดอร์ (ทิน เยดวาย น.68), ยูเลี่ยน บอย์มการ์ตลิงเกอร์, ชาร์ลส์ อรานกิซ, เลออน ไบลี่ย์ – ไค ฮาแวร์ตซ์, เควิน โฟลลันด์, ยูเลี่ยน บรันด์ท
สำรองไม่ได้ใช้: รามาซาน เอิซคาน (ผู้รักษาประตู) – สเตฟาน คีสลิ่ง, โดมินิค คอห์ร, คาริม เบลลาราบี้
ผู้ตัดสิน: เดนิซ อายเตคิน
ที่มา :Siamsport
ทรรศนะ : แมนฯ ซิตี้ ต้องรอเช็คสภาพความฟิตของ จอห์น สโตนส์ นัดนี้จะใช้ โอตาเมนดี้ ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ กอมปานี แดนกลางมี เฟร์นันดินโญ่ ลงคุมเกม โดยให้ ดาบิด ซิลบา และ เควิน เดอ บรอยน์ คอยสร้างสรรค์เกมรุกให้กับ 3กองหน้าของทีมอย่าง ซาเน่ , สเตอร์ลิง และ เซร์คีโอ อะกูเอโร ด้าน ลิเวอร์พูล มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง โจ โกเมซ , ลัลลานา , โจเอล มาติป และ เอ็มเร่ ชาน ส่วน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จะติดโทษใบแดง นัดนี้จะใช้ ลอฟเรน และ ฟาน ไดจ์ค ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี ไวจ์นัลดุม , ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน และ เจมส์ มิลเนอร์ ลงคุมเกมร่วมกัน โดยใช้ 3ประสานในแดนหน้าอย่าง มาเน่ , เฟอร์มิโน่ และ ซาร่า เกมแรกที่พบกันมาเป็นทาง ลิเวอร์พูล ที่ชนะไปก่อนด้วยสกอร์ 3-0 นัดนี้ แมนฯ ซิตี้ จะไม่มีทางเลือกที่มากนัก จะต้องเปิดเกมรุกตั้งแต่นาทีแรก และฟอร์มนัดล่าสุดยังแพ้ให้แก่ แมนฯ ยูไนเต็ด มาอีกด้วย ทาง ลิเวอร์พูล ถึงแม้จะมีนักเตะที่ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก แต่อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อทีมมากนัก จะใช้นักเตะจากชุดที่ชนะในเกมแรก ขาดเพียง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เพียงคนเดียว นัดนี้มองว่า นักเตะ แมนฯ ซิตี้ กำลังอยู่ในช่วงที่ขาดความมั่นใจ และเกมนี้สกอร์ของเกมจะไม่ขาด
ฟันธง: เสมอ 1-1 หรือ แมนฯ ซิตี้ ชนะ 2-1
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : เอเอส โรม่า ต้องรอเช็คสภาพความฟิตของ รัดย่า นาอิงโกลัน ส่วนตัวหลักคนอื่นยังอยู่กันครบ นัดนี้จะใช้ ฟาซิโอ และ มาโนลาส ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี เด รอสซี คอยคุมเกม โดยให้ สตรูทมัน และ โลเรนโซ เปลเลกรีนี ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อสนับสนุน 3กองหน้าอย่าง เปร็อตติ , อันแดร์ และ เอดิน เซโก้ ด้าน บาร์เซโลน่า จะไม่มี โคตินโญ่ ที่ติดกฎคัพไท ส่วน เซร์คีโอ บุสเกตส์ ต้องรอเช็คสภาพความฟิต นัดนี้จะใช้ ปีเก้ ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ อูมตีตี้ แดนกลางมี เปาลินโญ่ ลงคุมเกมร่วมกับ ราคีติช โดยให้ เซอร์กี้ โรแบร์โต้ และ อินเนสต้า ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อสนับสนุนคู่กองหน้าอย่าง ซัวเรซ และเมสซี่ เกมแรกที่พบกันเป็นทาง บาร์เซโลน่า ที่เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 4-1 นัดนี้ เอเอส โรม่า ต้องเปิดเกมรุกเข้าใส่ บาร์เซโลน่า ให้มากที่สุดหากหวังจะผ่านเข้ารอบ ส่วน บาร์เซโลน่า มีฟอร์มที่ดีอย่างต่อเนื่องหลังจากนัดล่าสุดเพิ่งเปิดบ้านเอาชนะ เลกาเนส มาได้ นัดนี้มองว่า เอเอส โรม่า ไม่ใช่ทีมที่เล่นเกมรุกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งนัดนี้ต้องพยายามเปิดเกมรุกให้มากที่สุด น่าจะส่งผลกระทบต่อแผงกองหลัง และจะเข้าทาง บาร์เซโลน่า ที่มีตัวจบสกอร์ระดับโลกอยู่แล้ว เกมนี้ บาร์เซโลน่า จะเป็นฝ่ายย้ำชัยไปได้อีกนัด
ฟันธง: บาร์เซโลน่า 3-1
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : ฟูแล่ม นัดนี้จะใช้ ทิม รีม และ เดนิส โอดัว ลงยืนเเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี เควิน แมคโดนัลด์ ลงคุมเกม โดยให้ ทอม แคร์นี่ย์ และ สเตฟาน โยฮันเซ่น ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง มิโตรวิช ด้าน เร้ดดิ้ง มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้ถึง 5 คน และเป็นนักเตะตัวหลัก 1 คน คือ พอล แม็คเชน ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ นัดนี้จะใช้ ติอาโก อิลอรี และ เลียม มัวร์ ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี เลียม เคลลี ลงคุมเกมร่วมกับ เดวิด เอ็ดเวิร์ดส์ โดยให้ โมดู บาร์โรว์ ขึ้นเกมรุกทางฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น โซเน่ อลูโก้ เพื่อคอยสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง ดาออย บูวาร์สสัน ฟอร์มของ ฟูแล่ม ถือว่าอยู่ในช่วงที่ดีเลย หลังจากชนะติดต่อกันมา 3 นัด ส่วน เร้ดดิ้ง นัดล่าสุดเพิ่งจะเปิดบ้านเอาชนะ เปรสตัน มาได้ ดู ฟอร์มเกมในบ้านของ ฟูแล่ม ไม่แพ้ใครมา 7 นัดติดต่อกัน และ ชนะไปได้ถึง 6 นัด ส่วน เกมเยือนของ เร้ดดิ้ง ไม่ชนะใครมา 5 นัดติดต่อกันแล้ว และแพ้ไปถึง 4 นัด เกมนี้มองว่า ฟูแล่ม ยังแข็งแกร่งในบ้าน
ฟันธง: ฟูแล่ม ชนะ 2-0
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : แอสตัน วิลล่า มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง คริสโตเฟอร์ แซมบา , เจด สเตียร์ และ แอลัน ฮัตตัน ที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ เจมส์ เชสเตอร์ และ จอห์น เทอร์รี ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี บียาร์นาสัน ลงคุมเกม โดยให้ คอเนอร์ เฮาริฮาน และ แจ็ก กรีลิช ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อคอยสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง โจนาธาน คอดเจีย ด้าน คาร์ดิฟฟ์ซิตี้ มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง แจ๊ซ ริชาร์ดส์ และ โจ รอลส์ เนื่องจากยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ ฌอน มอร์ริสัน และ ซูเลห์มาน บัมบ้า ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี มาร์คอ กรูยิช คอยคุมเกม โดยให้ ฮอยเล็ตต์ และ คัลลัม พาเตอร์สัน ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อสนับสนุน เค็นเน็ธ โซฮอร์ ที่ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ทั้งสองทีมนัดล่าสุดต่างก็แพ้มาด้วยกันทั้งคู่ และเกมนี้จะเป็นเกมสำคัญของทั้ง 2 ทีม เพราะจะต้องทำแต้มเพื่อโอกาสเลื่อนชั้นในฤดูกาลหน้า หากมองไปที่ สถิติที่พบกันมา 2 นัดหลังสุด เป็นทาง คาร์ดิฟฟ์ซิตี้ ที่ทำได้ดีกว่า ด้วยการเอาชนะไปได้ ทั้ง 2 นัด และเกมนี้ คาร์ดิฟฟ์ซิตี้ จะไม่แพ้
ฟันธง: เสมอ 1-1
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง พอล ค็อตส์ ที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ ส่วน จามาล แบล็คแมน จะติดโทษใบแดง นัดนี้จะใช้ แจ็ค โอ คอนเนลล์ , สเตียร์แมน และ คริส แบชาม ลงยืนเป็นกองหลัง 3คน แดนกลางมี จอห์น ลุนด์สตรัม ลงยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ โดยให้ จอห์น เฟล็ก ลงทำเกมร่วมกับ มาร์ก ดัฟฟี และมี ลีออน คล๊าร์ค ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ด้าน มิดเดิลสโบรห์ มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง รูดี้ เกสเตเด้ และ ฟาบิโอ เนื่องจากยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ ดาเนียล อายาลา และ เบน กิบสัน ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี จอนนี โฮว์สัน ลงคุมเกม โดยให้ สจวร์ต ดาวนิ่ง ขึ้นเกมรุกทางฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น อดาม่า ตราโอเร่ เพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง แพทริค แบมฟอร์ด ทั้งสองทีมมีลุ้นเพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นด้วยกันทั้งคู่ เกมนี้จึงเป็นนัดสำคัญของทั้งสองทีม นัดนี้มองว่าทั้งสองทีม ค่อนข้างที่จะสูสีกันมาก หากต้องเลือกทีมชนะ ขอเลือกไปที่ เจ้าบ้าน
ฟันธง: เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ชนะ 1-0
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : บริสตอล ซิตี้ มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง แมตต์ เทย์เลอร์ และ แม็กนุสสัน ที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ เอเดน ฟลินต์ และ นาธาน เบเคอร์ ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี โครีย์ สมิธ ลงทำเกมร่วมกับ มาร์ลอน แพ็ค โดยให้ ฟามาร่า ดิดิอู และ บ็อบบี รีด ลงยืนเป็นคู่กองหน้า ด้าน เบอร์มิ่งแฮม มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง ไอแซก แวาสเซลล์ , แซม กัลลาเกอร์ , และ คาร์ล เจนคินสัน ที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ ส่วน เช อดัมส์ จะติดโทษใบแดง นัดนี้จะใช้ มอร์ริสัน และ ฮาร์ลี ดีน ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์แดนกลางมี เฌเรมี่ โบก้า ลงทำเกมรุกร่วมกับ ฌักส์ มาโกม่า เพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง ลูคัส ยุตคีวิซ ฟอร์มของ บริสตอล ซิตี้ เพิ่งแพ้มาใน 2 นัดหลังสุด ส่วน เบอร์มิ่งแฮม ถือว่ามีฟอร์มที่ดีขึ้นหลังจากที่ไม่แพ้ใครมาแล้ว 4 นัด ติดต่อกัน นัดนี้มองว่า เบอร์มิ่งแฮม ต้องการแต้มเพื่อหนีจากโซนตกชั้น และดูจากฟอร์มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งสถิติที่พบกันมา 2 นัดหลังสุด เป็นทาง เบอร์มิ่งแฮม ที่เอาชนะได้ทั้ง 2 นัด และเกมนี้ เบอร์มิ่งแฮม จะบุกไปเฉือนชนะ บริสตอล ซิตี้ ไปได้
ฟันธง: เบอร์มิ่งแฮม ชนะ 1-0
ความมั่นใจ : [80%]