สนาม : สตาดิโอ โอลิมปิโก (โรม, อิตาลี)
โรม่า ทีมดังแห่งกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เปิด สตาดิโอ โอลิมปิโก กรุงโรม รับการมาเยือนของ บาร์เซโลน่า จ่าฝูงลา ลีกา สเปน ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 หลังจากเกมแรก บาร์ซ่า ชนะขาดลอย 4-1 ที่คัมป์ นู
ยูเซปิโอ ดิ ฟรานเชสโก้ กุนซือโรม่าได้ รัดย่า นาอิงโกลัน มิดฟิลด์ตัวหลักหายเจ็บต้นขา ลงสนามเคียงข้าง เควิน สตรอทมัน
ส่วน เออร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์บาร์ซ่าส่ง ลีโอเนล เมสซี่ กัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า ลงล่าตาข่ายร่วมกับ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย
เกมครึ่งแรก ผ่านไปเพียง 6 นาที โรม่า นำ 1-0 อย่างรวดเร็ว ดานิเอเล่ เด รอสซี่ กองกลาง กัปตันทีมโยนบอลยาวจากวงกลมกลางสนามอย่างแม่นยำให้ เอดิน เชโก้ ดึงบอลลงด้วยเท้าขวา ก่อนดีดด้วยซ้ายในกรอบเขตโทษตุงตาข่าย นับเป็นประตูที่ 6 ในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 10 ของเขาในฤดูกาลนี้
นาที 25 เอดิน เชโก้ กองหน้าเจ้าถิ่น สบโอกาสตะบันเท้าขวาระยะ 20 หลา บอลข้ามคาน
กองเชียร์เจ้าถิ่นเกือบได้เฮ นาที 36 อเลซานโดร ฟลอเรนซี่ โยนจากปีกขวาไปที่เสาไกล เอดิน เชโก้ ขึ้นโหม่งเผาขนไปติด มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น นายทวารบาร์ซ่า ปัดบอลออกเส้นหลังไปอย่างหวุดหวิด
จบครึ่งแรก โรม่านำ 1-0
ครึ่งหลัง นาที 56 เคราร์ด ปีเก้ โดนใบเหลือง หลังจากไปดึง เชโก้ ล้มลงในกรอบเขตโทษ เกลม็องต์ ตูร์กแป็ง ผู้ตัดสินชาวฝรั่งเศสเป่าให้เจ้าถิ่นได้ลูกจุดโทษ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ยิงจุดโทษเท้าขวาตุงตาข่าย โรม่านำห่าง 2-0 เป็นลูกแรกของเขาในการเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 8 ในซีซั่นนี้
นาที 68 หมาป่าแห่งกรุงโรมบุกขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เฟเดริโก้ ฟาซิโอ โยนจากริมเส้นฝั่งซ้ายไปที่เสาสอง ดานิเอเล่ เด รอสซี่ โขก 6 หลา ไม่เข้ากรอบ
นาที 74 บาร์ซ่า ได้บอล อันเดรส อิเนียสต้า กัปตันทีมผ่านบอลให้ ลีโอเนล เมสซี่ ยิงเท้าซ้ายระยะ 20 หลาไปเข้าซอง อลิสซอน
ห้านาทีต่อมา โรม่า เกือบได้ประตูเพิ่ม ฟลอเรนซี่ โยนจากปีกขวาไปที่เสาสอง สเตฟาน เอล ชาราวี ตัวสำรองยิงเท้าซ้ายจ่อๆ ทว่า มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น ปัดบอลได้อย่างยอดเยี่ยม
และแล้วนาที 82 โรม่า นำห่าง 3-0 เกนกิซ อึนแดร์ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งขวาไปเข้าหัว คอสตาส มาโนลาส โหม่งที่เสาแรกตุงตาข่าย
จบเกม โรม่า ต้อน บาร์เซโลน่า 3-0 และเมื่อรวมผล 2 นัด ทั้งสองทีมเสมอกัน 4-4 และเป็น โรม่า ชนะด้วยกฏประตูทีมเยือน ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ส่วน บาร์ซ่า กระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายอย่างเหลือเชื่อ
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
โรม่า : อลิสซอน – คอสตาส มาโนลาส, เฟเดริโก้ ฟาซิโอ, ฮวน เชซุส – อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, ดานิเอเล่ เด รอสซี่ (กัปตันทีม), อเล็คซานดาร์ โคลารอฟ – รัดย่า นาอิงโกลัน, เควิน สตรอทมัน – เอดิน เชโก้, ปาทริค ชิค
สำรอง : ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ (ผู้รักษาประตู), ลอเรนโซ่ เปลเลกรินี่, เกนกิซ อึนแดร์, มักซีม โกนาลงส์, บรูโน่ เปเรส, แชร์ซอน, สเตฟาน เอล ชาราวี
บาร์เซโลน่า : มาร์ค อังเดร แทร์ ชเตเก้น – เนลซอน เซเมโด้, เคราร์ด ปีเก้, ซามูแอล อุมติตี้, จอร์ดี้ อัลบา – เซร์จี้ โรเบร์โต้, อีวาน ราคิติช, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, อันเดรส อิเนียสต้า (กัปตันทีม) – ลีโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ
สำรอง : ยาสเปอร์ ชิลเลสเซ่น (ผู้รักษาประตู), เดนิส ซูอาเรซ, อุสมาน เด็มเบเล่, เปาลินโญ่, ปาโก้ อัลกาเซร์, อันเดร โกเมส, โธมัส แฟร์มาเล่น
ผู้ตัดสิน : เกลม็องต์ ตูร์กแป็ง (ฝรั่งเศส)
ที่มา :Siamsport
บาร์ซ่า เปิดบ้านเอาชนะโรม่า มาได้ก่อนในเลกแรกที่สนามคัมป์นู 4-1 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าโอกาสที่อัลซูกราน่า จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปมีสูงมาก เนื่องจากศักยภาพทีมและตัวผู้เล่น เหนือกว่าทีมจากอิตาลีอยู่หลายขุม
อย่างไรก็ตาม ในเกมที่สอง ทีมดังจากกรุงโรม ร่วมแรงร่วมใจ บดเอาชนะบาร์เซโลน่าได้ 3-0 พลิกผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ด้วยกฎประตูทีมเยือน หลังผลสองนัดเสมอกัน 4-4
ก่อนหน้านี้ มีการบันทึกไว้ว่านับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มีเพียงสองทีมเท่านั้นที่ชนะได้ในนัดแรกด้วยสกอร์ทิ้งห่าง 3 ประตู แต่มาแพ้ในเกมที่สองจนตกรอบในที่สุด
ซึ่งสองทีมดังกล่าวคือ เอซี มิลาน ที่แพ้ต่อ เดปอร์ติโว ลา คอรุนญ่า ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2003/04 โดยรอซโซเนรี่ เอาชนะได้ก่อนที่ซาน ซิโร่ 4-1 ก่อนที่จะบุกไปแพ้ที่ริอาซอร์ 0-4 สกอร์รวมสองนัด แพ้ 4-5
ต่อมา เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เปแอสเช เอาชนะ บาร์เซโลน่า ได้ก่อนที่บ้านตัวเอง 4-0 แต่กลับพ่ายสุดช็อคที่สนามคัมป์ นู ถึง 1-6 สกอร์รวม 2 นัด ตกรอบไป 5-6
ที่มา : siamsport
สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เกมแรกบุกไปพ่ายมาก่อนถึง 0-3 แถมล่าสุดชวดฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังพ่ายใน เอดิฮัด สเตเดี้ยม หนแรกในรอบ 27 เกมให้แก่อริร่วมเมือง “ปีศาจแดง” แมนฯยูไนเต็ด 2-3 เกมนี้ไม่มีทางเลือกต้องลุยแหลกทวงประตูคืน
อย่างเดียว แนวรุก เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” เป็นแค่สำรองส่ง กาเบรียล เชซุส หน้าเป้าโดยมีแนวรุกสนับสนุนทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, แบร์นาโด้ ซิลวา, ดาบิด ซิลบา, ลีรอย ซาเน่ และเควิน เดอ บรอยน์
ส่วนฝั่ง “หงส์แดง” ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เกมนี้ไร้แค่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ติดโทษแบน ส่วน เอมเร่ ชาน เจ็บยาว ทำให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม และเจมส์ มิลเนอร์ ลงคุมแดนกลางร่วมกับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน โดยมีสามแนวรุกหน้า
ประจำอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่
เปิดฉากมาแค่ 2 นาที แฟนเรือใบสีฟ้าได้เฮลั่นกันทั้งสนาม เมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โดน สเตอร์ลิง วิ่งมากดดันจนเปิดบอลพลาด แฟร์นันดินโญ่ แทงบอลทะลุแนวรับทีมเยือนถึง สเตอร์ลิง ก่อนอดีตปีกหงส์แดงจะปาดเข้ากลางให้ กาเบรียล เชซุส
วิ่งมายิงเสาแรกเข้าไป แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำ 1-0
นาที 14 ประวัติศาสตร์เกือบซ้ำรอยเหมือนเกมพรีเมียร์ลีกที่สนามแห่งนี้ ซาดิโอ มาเน่ ล้มตัวสไลด์เข้าช้าไปที่ลำตัวของ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ทำเอา เอแดร์ซอน โจทก์เก่าถึงกับเข้ามาเอาเรื่อง ปรากฏว่า มาเน่ กับ เอแดร์ซอน รับใบเหลืองไปทั้งคู่
รูปเกมเป็นซิตี้ที่พับสนามบุกแหลกอยู่ข้างเดียว จังหวะนี้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ได้บอลทางขวาแล้วตบกลับมาหน้าเขตโทษให้ เควิน เดอ บรอยน์ ยิงไม่ผ่านมือ ลอริส คาริอุส นาที 27
โอกาสของทีมเรือใบสีฟ้าอีกครั้งในนาที 39 เป็นบอลโยนยาวเข้าเขตโทษด้านขวามาให้ แบร์นาร์โด้ เอาลงได้แล้วล็อกหนี แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มายิงด้วยซ้ายติดไซด์ก้อยออกเสาสองไป
สองนาทีต่อมา ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่าได้ลูกที่สองอย่างยิ่ง เป็น แบร์นาร์โด้ อีกแล้วที่ได้แต่งเข้าซ้ายยิงเต็มข้อลักษณะเดิม ลูกแฉลบหัว เดยัน ลอฟเรน ไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย
เจ้าถิ่นส่งบอลกระทบตาข่ายได้อีกหนนาที 42 จากลูกเปิดเข้ามาทางซ้าย คาริอุส ออกมาชกบอลไม่ดี ลูกเด้งไปเข้าทาง ลีรอย ซาเน่ ยิงไม่เหลือ แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าของ ซาเน่ ไปก่อน เลยไม่ได้ประตู
นาที 45 ทีมเยือนได้ลุ้นบ้าง จากการโต้กลับขึ้นมา โม ซาลาห์ ได้บอลในเขตโทษด้านขวาแล้วจ่ายให้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-เชมเบอร์เลน แตะหนี เอแดร์ซอน ไปแล้วแต่ดันยิงข้ามคานน่าผิดหวัง หมดครึ่งแรกที่สกอร์แมนฯ ซิตี้นำ 1-0 พวกเขายังต้องการ
อีก 2 ประตูโดยที่ห้ามเสีย
ครึ่งหลังเริ่ม ปรากฏว่ามีการไล่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขึ้นไปบนอัฒจรรย์คนดูเป็นที่เรียบร้อย หลังจากกุนซือชาวสแปนิชไปประท้วงผู้ตัดสินอย่างรุนแรงในครึ่งแรก ถึงลูกที่ทีมไม่ได้ประตู
ลิเวอร์พูลตีเสมอเป็น 1-1 นาทีที่ 56 เป็นจังหวะโต้ขึ้นมาทาง ซาลาห์ จิ้มต่อให้ มาเน่ เกี่ยวเข้าเขตโทษไปติดมือ เอแดร์ซอน ที่ออกมารวบได้เร็ว แต่ไม่สามารถรับบอลเข้ามือได้ และเป็น ซาลาห์ ปรี่เข้ามาถึงลูกก่อนแตะหนี เอแดร์ซอน แล้วชิพด้วยซ้ายข้าม โอตาเมนดี้ เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างเยี่ยมยอด ถึงตอนนี้ซิตี้งานงอกต้องยิงอีก 4 ลูกเพื่อเข้ารอบ
ทีมเรือใบสีฟ้ายังครองบอลบุก พร้อมทั้งส่ง เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ที่เพิ่งหายเจ็บลงมา และในนาที 70 บอลมาที่ เอเมริก ลาป๊อร์กต์ ยิงด้วยซ้ายหน้าเขตโทษแฉลบหัว ลอฟเรน หลุดเสาแรกนิดเดียว
นาที 77 หงส์แดงแซงนำ 2-1 เมื่อ คายล์ วอลเกอร์ พลาดเตะบอลไปติด โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หอกบราซิเลี่ยนจึงลากเข้าเขตโทษด้านซ้ายไปแปด้วยขวาเสียบเสาสองนิ่มๆ
จากนั้นไม่มีประตูเพิ่มแล้ว จบเกม ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ซิตี้ 2-1 ย้ำชัยนัดที่สอง สกอร์รวม 5-1ส่งผลให้ “หงส์แดง” ทะลุเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือกในรอบ 10 ปี
โดยจะมีการจับสลากประกบคู่ในรอบรองชนะเลิศ วันศุกร์ที่ 13 เม.ย.นี้ ที่เมืองนียง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มเวลา 18.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนฯ ซิตี้ (3-2-4-1) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ – เควิน เดอ บรอยน์, แฟร์นันดินโญ่ – ราฮีม สเตอร์ลิง, แบร์นาโด้ ซิลวา, ดาบิด ซิลบา, ลีรอย ซาเน่ – กาเบรียล เชซุส
สำรอง : เคลาดิโอ บราโว่, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, อิลคาย กุนโดกัน, เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน”, เฟเบียน เดลฟ์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, ฟิล โฟเด้น
เทรนเนอร์ : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
ลิเวอร์พูล (4-3-3) : ลอริส คาริอุส – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ
มาเน่
สำรอง : ซิมง มินโญเล่ต์, เนธาเนี่ยล คลายน์, รักนาร์ คลาวาน, อัลเบร์โต้ โมเรโน่, แดนนี่ อิงส์, โดมินิค โซลังกี้, เบ็น วู้ดเบิร์น
เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์
ผู้ตัดสิน : อันโตนิโอ มาเตว ลาออซ (สเปน)
ที่มา :Siamsport
เอฟเวอร์ตัน กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2 สโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้ความสนใจที่จะดึง ชินจิ คางาวะ มิดฟิลด์ชาวญี่ปุ่นของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทีมดังแห่งเวที บุนเดสลีกา เยอรมัน มาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ ตามรายงานของ บิลด์ สื่อชื่อก้องของเมืองเบียร์
คางาวะ เคยมาค้าแข้งที่ อังกฤษ แล้ว หลังย้ายจาก ดอร์ทมุนด์ มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2012 แต่เขาก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งกับ “ปีศาจแดง” ได้ หลังจากที่ทำไปเพียง 6 ประตู จากการลงเล่นในทุกรายการ 57 นัด จนต้องย้ายกลับไปอยู่กับ “เสือเหลือง” ในปี 2014
ทั้งนี้ ดาวเตะทีมชาติญี่ปุ่นกลับมาทำผลงานได้โดดเด่นอีกครั้ง โดยตอนนี้เขาทำประตูให้ทีมไปถึง 31 ลูกจากการลงเล่นในทุกรายการ 139 เกม จนทำให้ ดอร์ทมุนด์ ได้แชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล เมื่อซีซั่นก่อนไปครอง ส่วนในฤดูกาลนี้เขาก็มีส่วนช่วยให้ทีมรั้งอันดับ 3 ของลีกด้วย
ฟอร์มดังกล่าวทำให้มีหลายทีมที่ตกเป็นข่าวให้ความสนใจในตัว คางาวะ ซึ่งล่าสุด เอฟเวอร์ตัน กับ เวสต์แฮม ก็ขอล่าตัวแข้งเลือดซามูไรด้วย โดย แซม อัลลดาร์ไดซ์ ผู้จัดการทีม “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เชื่อว่าดาวเตะวัย 29 ปี คือจิ๊กซอว์ที่หาอยู่สำหรับการรับบทเพลย์เมกเกอร์ของทีม ขณะที่ เดวิด มอยส์ กุนซือ “ขุนค้อน” ก็เชื่อว่าอดีตกองกลาง แมนฯ ยูไนเต็ด จะเสริมความแข็งแกร่งให้แผงกลางของทีมได้ เพราะพักหลังมานี้ มอยส์ ใช้ระบบ 5 กองหลัง กับ 5 กองกลาง พร้อมกับไม่ใช้งานกองหน้าอาชีพอยู่หลายเกม
สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกองกลางของ ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยอมรับว่ากรรมการตัดสินผิดพลาดที่ไม่ให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ประตูจากจังหวะของ ลีรอย ซาเน่ ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง ที่ทัพ “หงส์แดง” บุกไปชนะอีกฝ่าย 2-1 ถึงสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอังคารที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา
ในช่วงท้ายครึ่งแรกซึ่งเป็นตอนที่ แมนฯ ซิตี้ นำอยู่ 1-0 นั้น มันมีจังหวะที่ ลอริส คาริอุส ผู้รักษาประตูของทีมเยือนออกมาชกบอลไม่ดีจนเด้งไปเข้าทาง ซาเน่ และดาวเตะทีมชาติเยอรมนีก็ส่งบอลเข้าไปนอนในก้นตาข่ายได้ แต่ถูกตัดสินว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า
“มันเป็นจังหวะที่สำคัญมาก มันต้องมีบางอย่างที่เข้าทางคุณด้วย (ถึงจะได้ผลการแข่งขันที่ดี) ตอนที่ผมเห็นจังหวะนั้น และเห็นผู้กำกับเส้นยกธงขึ้นมาแล้วเนี่ย ผมก็คิดทันทีเลยว่า ลิเวอร์พูล รอดตายมาได้” เจอร์ราร์ด กล่าวในช่วงพักครึ่งระหว่างทำหน้าที่นักวิเคราะห์ให้ บีที สปอร์ต สื่อของเมืองผู้ดี
อดีตแข้งชาวอังกฤษเสริมถึงจังหวะนี้หลังจบเกมว่า “มันควรจะเป็นประตู จากมุมมองของ ซิตี้ แล้วน่ะ พวกเขาก็คงตั้งประเด็นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจังหวะนี้เป็นประตู ตอนที่ไม่ได้ออกอากาศเราพูดถึงการได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ลิเวอร์พูล ก็อาจจะต้องย้อนนึกถึงจังหวะที่เป็นประโยชน์กับพวกเขาแบบนี้ก็ได้ ถ้าเกิดพวกเขาไปถึงแชมป์ในท้ายที่สุด”
ที่มา : siamsport
แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล 2 ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก่อเหตุชกต่อยกันบนอัฒจันทร์ ระหว่างเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสอง ที่ทัพ “หงส์แดง” บุกไปชนะอีกฝ่าย 2-1 ถึงสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอังคารที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา
เดอะ ซัน สื่อของเมืองผู้ดีระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงอัฒจันทร์ฝั่งที่กลุ่มที่มาเป็นครอบครัวเขานั่งกัน โดยปกติแล้วตรงนี้มักจะเป็นที่ของแฟนบอลเจ้าถิ่น แต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมามี “เดอะ ค็อป” รายหนึ่งมานั่งเชียร์ทีมรักตรงนี้ด้วย
ทั้งนี้ ในจังหวะที่ ลิเวอร์พูล ทำประตูได้นั้น แฟนบอลรายดังกล่าวของทีมเยือนก็ฉลองแบบเต็มที่ ซึ่งมันทำให้สาวก แมนฯ ซิตี้ อย่างน้อย 2 คนที่อยู่แถวนั้นไม่พอใจ และพยายามจะเข้าไปอัดกองเชียร์ของอาคันตุกะ โดยอีกฝ่ายก็ไม่ยอมง่ายๆ และตัดสินใจชกสวนกลับไป
ที่จริงมันก็มีบางส่วนที่พยายามเข้าไปแยกทั้ง 2 ฝ่ายออกจากกัน แต่ก็ไม่เป็นผลเท่าไหร่ โดยแฟนบอลคนหนึ่งถึงขนาดลื่นล้มลงไปนอนกับพื้นด้วย ขณะที่ในโลกออนไลน์ก็มีการแสดงความคิดเห็นถึงคลิปนี้กันมากมาย อย่างเช่น “เขาคิดว่าจะไม่เจออะไรเลยเหรอ ? คือผมรู้แหละว่าการชกต่อยกันมันไม่เหมาะสม แต่เขามาอยู่ตรงนี้เองนะ แถมสัปดาห์ก่อนก็เพิ่งมีคดีรถบัสมาหมาดๆ ด้วย (หมายถึงเรื่องที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล เล่นงานรถบัสของ แมนฯ ซิตี้)” และ “มันจะเกิดเรื่องแบบนี้อยู่เสมอนั่นแหละ ใครก็ตามที่กล้ามานั่งตรงอัฒจันทร์ของเจ้าบ้านก็ต้องก้มหน้ายอมรับกับเรื่องแบบนี้” เป็นต้น
ที่มา : siamsport
เนย์มาร์ กองหน้าคนดังของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง สโมสรมหาเศรษฐีแห่งเวที ลีก เอิง ฝรั่งเศส เรียกร้องให้ต้นสังกัดดึง เจอร์เก้น คล็อปป์, โชเซ่ มูรินโญ่ หรือไม่ก็ อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาเป็นเทรนเนอร์คนใหม่ของทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ตามรายงานของ ดอน บาลอน สื่อของประเทศสเปน
มันมีกระแสข่าวลือออกมาโดยตลอดว่า อูไน เอเมรี่ เทรนเนอร์ ปารีสฯ จะต้องบอกลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ เพราะเขาพาทีมตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ทั้งที่ทีมใช้เงินเสริมทัพไปเยอะมาก ซึ่งมันก็มีกุนซือชื่อดังหลายคนที่ตกเป็นข่าวกับพวกเขา โดยหนึ่งในนั้นคือ โธมัส ทูเคิ่ล อดีตนายใหญ่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
อย่างไรก็ตาม ดอน บาลอน ระบุว่า เนย์มาร์ ไม่อยากได้ ทูเคิ่ล มาเป็นเจ้านายคนใหม่ เพราะมองว่ากุนซือชาวเยอรมันยังไม่มีประสบการณ์มากนัก และหวังว่าบอร์ดบริหารของทีมจะเลือกใช้งาน คล็อปป์, มูรินโญ่ หรือ คอนเต้ มากกว่า ซึ่งหากได้หนึ่งใน 3 คนดังกล่าวมาคุมทีมจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะอยู่กับทีมต่อไปด้วย หลังจากที่ดาวเตะทีมชาติบราซิลตกเป็นข่าวเกี่ยวกับการย้ายทีมอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่งย้ายมาอยู่กับ ปารีสฯ เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็ตาม
ทั้งนี้ ดอน บาลอน เสริมว่าตอนนี้ คอนเต้ ดูเหมือนจะเป็นเพียงรายเดียวใน 3 คนดังกล่าวที่ ปารีสฯ จะดึงมากุมบังเหียนทีมได้ หลังจากที่เจ้าตัวมีปัญหากับบอร์ดบริหารของทีมเรื่องนโยบายการเสริมทัพ แถมยังพา “สิงโตน้ำเงินคราม” ทำผลงานได้น่าผิดหวังในฤดูกาลนี้ ขณะที่ คล็อปป์ กับ มูรินโญ่ น่าจะยังอยู่กับทีมเดิมต่อไป
ที่มา : siamsport
แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องยกภรรยาของตัวเองให้กับน้องชาย หลังจากดันแพ้พนันในศึกดาร์บีแมตช์แห่งเมืองแมนเชสเตอร์ เมื่อทัพ “เรือใบสีฟ้า” แพ้พลิก “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-3 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
อแมนนี่ สแตนลี่ย์ สาวก “เรือใบสีฟ้า” ชาวแทนซาเนีย มั่นอกมั่นใจในศักยภาพแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างมากว่าจะสามารถดับซ่า แมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้เขากล้าที่จะพนันกับ ชิลล่า โทนี่ น้องชายซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ทีมของกุนซือโชเซ่ มูรินโญ่
สำหรับสิ่งที่ใช้ในการเดิมพันก็คือภรรยาของทั้งสองฝ่าย โดยหากใครแพ้ต้องยอมให้หวานใจของพวกเขาไปอยู่กับผู้ชนะ 1 สัปดาห์ และจากผลงานสุดยอดของ ปอล ป็อกบา ที่ซัด 2 ประตู กับ คริส สมอลลิ่ง ช่วยให้ “ผีแดง” พลิกนรกหลังจากตามหลัง 0-2 ในครึ่งแรกได้อย่างเหนือเชื่อ ส่งผลให้ อแมนนี่ ต้องยอมยกเมียให้ไปอยู่กับน้องเป็นการชั่วคราว
เคนย่า ไนโรบี นิวส์ สื่อในกาฬทวีป เผยข้อความในสัญญาที่ระบุว่า “ด้วยสัญญานี้ผมจึงต้องยอมให้ภรรยาของผมไปอยู่กับ โทนี่ ชิลล่า น้องชายของผมตลอดทั้งสัปดาห์ ถ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกในเกมพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตอนที่เขียน และผมไม่ได้โดนบีบบังคับให้ทำข้อตกลงนี้”
ที่มา่ : siamsport
ทรรศนะ : เรอัล มาดริด เกมนี้ เซร์คีโอ รามอส จะลงสนามไม่ได้ เนื่องจากโดนโทษแบน 1 เกม เพราะได้ใบเหลืองครบกำหนด นัดนี้จะใช้ เคซุส บาเยโค และ ราฟาแอล วาราน ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี คาเซมิโร่ , โทนี่ โครส และ ลูก้า โมดริช ลงทำเกมร่วมกัน โดยให้ อิสโก้ ลงเล่นเป็นเพลย์เมกเกอร์คอยทำเกมรุกเพื่อสนับสนุนคู่กองหน้าอย่าง เบนเซม่า และ โรนัลโด้ ด้าน ยูเวนตุส มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง อันเดรีย บาร์ซาญี่ ที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ ส่วน เปาโล ดิบาล่า ได้ใบแดงจากนัดที่แล้ว เบนตันกูร์ ได้รับใบเหลืองครบกำหนด นัดนี้จะใช้ เบนาเตีย ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กับ คิเอลลินี่ แดนกลางมี เคดีร่า , มิราเลม เปยานิช และ เบลส มาตุยดิ ลงทำเกมร่วมกัน โดยให้ มานด์ซูคิช ทำเกมรุกทางฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ดักลาส คอสต้า เพื่อสนับสนุน อีกวาอิน ที่ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า เกมนี้จะเป็น รอบ8ทีมสุดท้าย นัดที่2 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมนัดแรก เป็นทาง เรอัล มาดริด ที่เอาชนะมาได้ก่อน ด้วยสกอร์ 3-0 นัดนี้มองว่า เรอัล มาดริด อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเป็นอย่างมาก ทั้งสกอร์ในนัดแรก และยังได้เล่นในบ้าน ที่ยังไม่แพ้ใครมา 6 นัดติดต่อกัน เกมนี้ เรอัล มาดริด จะย้ำชัยได้อีกนัด
ฟันธง: เรอัล มาดริด ชนะ 3-1
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : บาเยิร์น มิวนิค มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง คิงส์ลีย์ โคมอง , ดาวิด อาลาบา และ อาร์ตูโร่ วิดัล เนื่องจากยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ มัทส์ ฮุมเมิลส์ และ เชโรม โบอาเทง ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี อัลกันตารา ลงทำเกมร่วมกับ เจมส์ โรดริเกวซ โดยให้ ฟร็องก์ รีเบรี ขึ้นเกมรุกทางริมเส้นฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น โทมัส มุลเลอร์ เพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง เลวานดอฟสกี้ ด้าน เซบีย่า เกมนี้ต้องรอเช็คสภาพความฟิตของ ไซม่อน เคียร์ และ กาเบรียล เมอร์คาโด้ นัดนี้จะใช้ คาร์ริโก้ และ ลองเกลต์ ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี เอ็นซงซี ลงคุมเกมร่วมกับ บาเนก้า โดยให้ ซาราเบีย , ฟรังโก้ วาซเกซ และ ฆัวกิน กอร์เรอา ลงทำเกมรุกร่วมกัน เพื่อคอยสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง หลุยส์ มูเรียล เกมนี้จะเป็น รอบ8ทีมสุดท้าย นัดที่2 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เกมแรกเป็นทาง บาเยิร์น มิวนิค ที่เอาชนะมาได้ก่อนด้วยสกอร์ 2-1 และเกมนี้ บาเยิร์น มิวนิค ที่ได้ลงเล่นในบ้าน ดูจะได้เปรียบอยู่ค่อนข้างมาก อีกทั้ง บาเยิร์น มิวนิค ยังชนะในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาได้ถึง 7 นัดติดต่อกัน นัดนี้ยังมองว่า บาเยิร์น มิวนิค ดีพอที่จะผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ ในรายการนี้ได้
ฟันธง: บาเยิร์น มิวนิค ชนะ 3-0
ความมั่นใจ : [80%]