ทรรศนะ : สปอร์ติ้ง ลิสบอน มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง ดาเนียล โพเดนซ์ ที่ยังคงมีอาการบาดเจ็บ ส่วน บาส โดสท์ และ โคเอนเทรา ที่ได้รับใบเหลืองครบกำหนด และยังต้องรอเช็คสภาพความฟิตของ วิลเลียม คาร์วัลโญ นัดนี้จะใช้ มาติเยอ และ โกอาเตส ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี บัตตาเกลีย ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ โดยให้ ไบรอัน รุยซ์ , เฟอร์นานเดส และ มาร์ตินส์ ร่วมกันทำเกมรุกให้กับ เฟรดี้ มอนเตโร ที่ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ด้าน แอตฯ มาดริด มี ฟิลิปเป้ หลุยส์ ที่จะลงสนามไม่ได้ เนื่องจากยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ สเตฟาน ซาวิช และ โกดิน ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี ซาอุล ญีเกซ ลงคุมเกมร่วมกับ กาบี้ โดยให้ โกเก้ และ อังเกล คอร์เรีย ลงทำเกมรุกให้กับคู่กองหน้าอย่าง ดิเอโก คอสต้า และ อองตวน กรีซมันน์ เกมนี้จะเป็น ยูโรป้า ลีก รอบ 8ทีมสุดท้ายนัดที่ 2 โดยในเกมแรกเป็นทาง แอตฯ มาดริด เอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 2-0 ฟอร์มของ 2 สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในรายการนี้ถือว่ายังไม่ค่อยดี หลังจากที่แพ้มา 2 นัดติดต่อกัน ส่วน แอตฯ มาดริด ในรายการนี้ถือว่าฟอร์มดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ชนะในรายการนี้มาแล้ว 6 นัดติดต่อกัน นัดนี้ยังมองว่า แอตฯ มาดริด ยังมีทีมที่ดีกว่า อีกทั้ง สปอร์ติ้ง ลิสบอน ยังขาดตัวหลักไปอีกหลายคน น่าจะส่งผลกระทบต่อทีมไม่มากก็น้อย และเกมนี้จะเป็น แอตฯ มาดริด ที่ย้ำชัยไปได้อีกนัด
ฟันธง: แอตฯ มาดริด ชนะ 2-1
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง เดียดี้ ซามาสเซคู เนื่องจากได้ใบเหลืองครบกำหนด นัดนี้จะใช้ ซาเลต้า-ซาร์ และ อันเดร รามัลโญ่ ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี วาลอน เบริช่า ลงทำเกมร่วมกับ อมาดู ไฮดาร่า โดยใช้คู่กองหน้าอย่าง โมอาเนส ดาบูร์ และ กูลบรานด์เซ่น ลงทำสกอร์ ด้าน ลาซิโอ้ ต้องรอเช็คสภาพความฟิตของ กองกลางคนสำคัญของทีมอย่าง มาร์โก ปาโรโล นัดนี้จะใช้ หลุยซ์ ฟิลิป , สเตฟาน เดอ ฟรีจ์ และ สเตฟาน ราดู ลงยืนเป็นกองหลัง 3คน แดนกลางมี ลูกัส เลย์วา ลงเล่นเป็นมดฟิลด์ตัวรับ โดยให้ มิลินโควิช-ซาวิช และ หลุยส์ อัลเบร์โต้ ลงทำเกมร่วมกัน และมี ชิโร่ อิมโมบิลเล่ ลงยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า เกมนี้เป็น ยูโรป้า ลีก รอบ 8ทีมสุดท้ายนัดที่ 2 ในเกมแรกเป็นทาง ลาซิโอ้ ชนะมาได้ก่อนด้วยสกอร์ 4-2 จากสกอร์ในเกมแรก ทำให้ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ต้องเปิดเกมรุกเพื่อทำประตูให้เร็วที่สุด มองจากเกมแรกที่เจอกันมา เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ค่อนข้างที่จะทำได้ดีกว่า และนัดนี้ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก มีโอกาสแก้ตัว ในการได้กลับมาเล่นในบ้าน อีกทั้งมีฟอร์มการเล่นในบ้าน ที่ถือว่าดีเลยทีเดียว เพราะยิงประตูได้มากมายในการเล่นในบ้าน และเสียประตูค่อนข้างที่จะยาก และเกมนี้ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก จะพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบไปได้ในที่สุด
ฟันธง: เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ชนะ 2-0
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : โอลิมปิก มาร์กเซย มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง สตีฟ ม็องด็องด้า และ อาดีล รามี เนื่องจากยังคงมีอาการบาดเจ็บ ส่วน ฟลอริย็อง โตแว็ง และ โรลันโด้ ต้องรอเช็คสภาพความฟิต นัดนี้จะใช้ คามารา , ลูอิส กุสตาวู และ ซาคาอิ ลงยืนเป็นกองหลัง 3คน แดนกลางมี มอร์แกน แซนซัน ลงคุมเกมร่วมกับ ซัมโบ้ อ็องกิสซ่า โดยให้ โอคัมโปส ลงทำเกมรุกร่วมกับ ดิมิทรี ปาเยต์ เพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง วาแลร์ แฌร์แม็ง ด้าน RB ไลป์ซิก มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง ฮัลสเตนแบร์ก , อิลซานเคอร์ และ คอนราด ไลเมอร์ เนื่องจากยังคงมีอาการบาดเจ็บ นัดนี้จะใช้ อูปาเมกาโน และ วิลลี่ ออร์บาน ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์ร่วมกัน แดนกลางมี เดมเมอ ลงคุมเกมร่วมกับ นาบี เกอิต้า โดยให้ บรูม่า และ เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อสนับสนุนคู่กองหน้าอย่าง โพลเซ่น และ ติโม แวร์เนอร์ เกมนัดแรกเป็นทาง RB ไลป์ซิก ชนะมาก่อนด้วยสกอร์ 1-0 จากเกมนัดที่แล้วเป็นเกมค่อนข้างที่จะสูสี และเกมนี้ โอลิมปิก มาร์กเซย มีโอกาสผ่านเข้ารอบมากกว่า เพราะได้กลับมาเล่นในบ้าน และคว้าชัยชนะไปได้
ฟันธง: โอลิมปิก มาร์กเซย ชนะ 2-0
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : แบรดฟอร์ด มีนักเตะที่ลงสนามไม่ได้อย่าง แม็คโกแวน , อเล็กซ์ โจนส์ และ เจค รีฟส์ นัดนี้จะใช้ คิลแกลลอน และ วินเซล็อท ลงยืนเป็นคู่เซ็นเตอร์ แดนกลางมี แมคมาฮอน ลงทำเกมร่วมกับ นิกกี ลอว์ โดยให้ กิลลิเอ็ด ทำเกมรุกทางฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ชาร์ลี ไวก เพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง โพเลอน ด้าน ชรูว์สบิวรี่ ตองรอเช็คสภาพความฟิตของ อาดู โอโกโก้ นัดนี้จะใช้ เอนเซียลา และ แมต แซดเลอร์ ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี เบน ก็อดฟรีย์ ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ โดยให้ ซัม โจนส์ และ จอน โนแลน ลงทำเกมรุกเพื่อสนับสนุน คาร์ลตัน มอร์ริส ที่ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ฟอร์มของ แบรดฟอร์ด ถือได้ว่าแย่ลง หลังจากที่แพ้มา 2 นัดติดต่อกัน ส่วน ชรูว์สบิวรี่ นัดล่าสุดเพิ่งจะสะดุดแพ้ให้แก่ ลินคอล์น ซิตี้ มา นัดนี้มองว่า ชรูว์สบิวรี่ มีความต้องการแต้มที่มากกว่า เพื่อโอกาสในการเลื่อนชั้นอัตโมัติ อีกทั้ง แบรดฟอร์ด ยังมีฟอร์มการเล่นที่ไม่ดีมากนัก และเกมนี้ ชรูว์สบิวรี่ มีแรงจูงใจ เพื่อที่จะเอาชนะนั้นมีมากกว่า
ฟันธง: ชรูว์สบิวรี่ ชนะ 2-0
ความมั่นใจ : [80%]
ทรรศนะ : ฮูเอสก้า นัดนี้จะใช้ จอร์จ พูลิโด และ แจร์ อมาดอร์ ลงยืนเป็นเซ็นเตอร์คู่กัน แดนกลางมี อากีเลรา นูเนซ ลงคุมเกมร่วมกับ ลุยส์ ซาสเทร โดยให้ เมลาโร่ ลงทำเกมรกเพื่อสนับสนุนกองหน้าตัวเป้าอย่าง ชูโช่ เฮอร์นานเดส ด้าน อัลบาเซเต้ นัดนี้จะใช้ กาฟฟอร์ , มาเรีย เฮอร์เรโร และ โกโรซิโต้ ลงยืนเป็นกองหลัง 3คน แดนกลางมี ชอน อีริซ ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ โดยให้ โรดรีเกซ วาซเกซ และ ซูเซต้า ลงทำเกมรุกร่วมกันเพื่อสนับสนุนคู่กองหน้าอย่าง เฌเรมี เบล่า และ ซานตาน่า ฮูเอสก้า มีฟอร์ที่ไม่ดีมากนัก หลังจากที่ไม่ชนะใครมา 7 นัดติดต่อกัน ส่วน อัลบาเซเต้ นัดล่าสุดเพิ่งจะแพ้ให้กับ ราโย บาเยกาโน มา นัดนี้มองว่า ฮูเอสก้า ต้องกลับมาชนะให้ได้ เพื่อโอกาสในการเลื่อนชั้นฤดูกลหน้า และ ฮูเอสก้า มีเกมในบ้าน ที่เป็นจุดเด่นในฤดูกาลนี้ และเกมนี้ ฮูเอสก้า จะกลับมาชนะเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมาให้ได้
ฟันธง: ฮูเอสก้า ชนะ 2-0
ความมั่นใจ : [80%]
เปิดฉากมา เจ้าถิ่นลุยแหลก และเกือบขึ้นนำในน.12 เมื่อ ไดกิ ซูงะ หลุดขึ้นไปทางซ้ายสุดเส้นก่อนเปิดให้ โคจิ มิโยชิ แปเข้าประตู แต่ผู้ตัดสินยกธงเป็นลูกล้ำหน้าไปเสียก่อน
ผ่านมาถึง น.15 โชนัน ทีมเยือนได้ลุ้นบ้างจากจังหวะซัดในกรอบของ ซึกาสะ อูเมซากิ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับ กู ซัง ยุน เซฟไว้ได้
คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ลุยแหลก น. 18 โคจิ มิโยชิ หลุดไปซัดเน้นๆ แต่ โยตะ อากิโมโตะ ผู้รักษาประตู โชนัน เซฟได้อย่างหวุดหวิด
นาทีถัดมา ชนาธิป เกือบสร้างชื่ออีก จากจังหวะที่ เคน โทคุระ โหม่งชงให้ เจ สอดขึ้นมาอัดเน้นๆ ด้วยขวาในระยะเผาขน แต่กองหลังทีมเยือน พุ่งขวางไว้ได้ทัน
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
คอนซาโดเล่ ซัปโปโร: กู ซัง ยุน, เรียวสุเกะ ชินโดะ, คิม มิน แต, อากิโตะ ฟุกุโมริ, โยชิอากิ โคมาอิ, ฮิโรกิ มิยาซาว่า, ทาคูมะ อาราโนะ, ไดกิ สุงะ, โคจิ มิโยชิ, ชนาธิป สรงกระสินธ์, เคน โทคุระ
สำรอง: ทากาโนริ ซูเกโนะ, นาโอกิ อิชิคาว่า, เรียวตะ ฮายาซากะ, ชินโกะ เฮียวโดะ, จูลินโญ่, โจนาธาน เฮส, ทาคุมิ มิยาโยชิ
โชนัน เบลล์มาเร่: โยตะ อากิโมโตะ, มิกิ ยามาเนะ, อังเดร บาเอีย, คาซูนาริ โอโนะ, ทาคูยะ โอกาโมโตะ, โทชิกิ อิชิคาวะ, ไดกิ ซูกิโอกะ, เรียว ทาคาฮาชิ, ซึกาสะ อูเมซากิ, ลี จอง เฮียบ, จิน ฮานาโตะ
สำรอง: มาซากิ โกโตะ, ซิโยชิ ชิมามูร่า, เทมมะ มัตสึดะ, มิคิช, เรียวโนสุเกะ โนดะ, อเล็น สเตวาโนวิช, คาโอรุ ทาคายาม่า
ที่มา : Siamsport
สนาม : ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
”ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด เลกแรกบุกไปเอาชนะ ยูเวนตุส มาก่อนถึง 3-0 โดยได้ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิง 2 ประตู ก่อนจะได้ มาร์เซโล่ ทำประตูปิดท้าย โอกาสเข้ารอบสดใสทีเดียว
ผลงานในลา ลีกา ล่าสุด โรนัลโด้ ยิงประตูที่ 40 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ให้ทีมออกนำ แอต.มาดริด ก่อนที่จะโดน อองตวน กรีซมันน์ ยิงตีเสมอ 1-1 ในศึก ”เดร์บี้ มาดริเลนโญ่” รั้งเป็นอันดับ 4 ของตาราง
ข่าวร้ายของ ซีเนดีน ซีดาน ก็คือจะหมดสิทธิ์ใช้งาน เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังกัปตันทีม ติดโทษแบนหลังสะสมใบเหลืองครบโควตา
นอกจากนี้ นาโช่ เฟร์นานเดซ เซนเตอร์แบ็ก แบ็กอัพเบอร์หนึ่งของทีมมีอาการบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เกมนี้น่าจะได้เห็น เฆซุส บาเยโฆ่ กองหลังดาวรุ่งลงสนามเคียงข้าง ราฟาแอล วาราน
ดาวเตะตัวจริงที่ได้พักในเกมกับตราหมีอยาง กาเซมีโร่, โทนี่ โครส, อีสโก้ และ ลูก้า โมดริช เตรียมคืนสนามทั้งหมด เช่นเดียวกับ คาริม เบนเซม่า ที่จะประสานงานแดนหน้ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ฟาก ”ม้าลาย” ยูเวนตุส เกมที่แล้วแพ้คาบ้าน 0-3 โอกาสเข้ารอบริบหรี่ ขณะที่ผลงานในลีกยังยอดเยี่ยมต่อเนื่อง ล่าสุดบุกถล่มทีมบ๊วยอยาง เบเนเวนโต้ 4-2 จากแฮตทริกของ เปาโล ดีบาล่า และอีกลูกจาก ดั๊กลาส คอสต้า
มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี เจอกับข่าวร้ายเมื่อ เปาโล ดีบาล่า กองหน้าตัวเก่งโดนไล่ออกจากสนามในเลกแรก เกมนี้ติดโทษแบน เช่นเดียวกับ โรดรีโก้ เบนตานชูร์ กองกลางที่สะสมใบเหลืองครบโควตา
อย่างไรก็ตาม ยังพอมีข่าวดีที่ได้ตัว มิราเล็ม ปานิช ห้องเครื่องตัวเก่ง และ เมห์ดี้ เบนาเตีย กองหลังพ้นโทษแบนกลับมา
เบนาเตีย จะกลับมาเป็นคู่เซนเตอร์กับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ทันทีในวันที่ อันเดรีย บาร์ซายี่ มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิต
ปานิช จะกลับมาประสานงานแดนกลางกับ ซามี่ เคดิร่า ส่วนพื้นที่แดนหน้าใช้ มาริโอ มานด์ซูคิช ลงแทนที่ของ ดีบาล่า
แกนหลักที่ได้พักในเกมล่าสุดอย่าง จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ดั๊กลาส คอสต้า และ กอนซาโล่ อิกวาอิน เตรียมคืนทัพทั้งหมด
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
เรอัล มาดริด (4-3-1-2) : เกย์ลอร์ นาวาส – ดานี่ การ์บาฆาล, ราฟาแอล วาราน, เฆซุส บาเยโฆ่, มาร์เซโล่ – ลูก้า โมดริช, กาเซมีโร่, โทนี่ โครส – อีสโก้ – คาริม เบนเซม่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้
เทรนเนอร์ : ซีเนดีน ซีดาน
ยูเวนตุส (4-2-3-1) : จานลุยจิ บุฟฟ่อน – มัตเตีย เด ชีโย่, เมห์ดี้ เบนาเตีย, จอร์โจ้ คิเอลลินี่, ควัดโว่ อาซาโมอาห์ – ซามี่ เคดิร่า, มิราเล็ม ปานิช – ดั๊กลาส คอสต้า, มาริโอ มานด์ซูคิช, อเล็กซ์ ซานโดร – กอนซาโล่ อิกวาอิน
เทรนเนอร์ : มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี
ผู้ตัดสิน : ไมเคิ่ล โอวิเลอร์ (อังกฤษ)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– ราชันกำลังจะลุ้นเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน โดยนี่จะเป็นหนที่ 21 ที่เจอกันของทั้งสองทีม ซึ่งครั้งที่ 19 นั้นเป็นการเจอกันตอนนัดชิงที่คาร์ดิฟฟ์ เมื่อ 3 มิถุนายน 2017 เรอัล มาดริด อัดยูเว่ 4-1 ได้แชมป์สมัยที่ 12 ทำลายอาถรรพ์เป็นแชมป์เก่าที่ป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ และตอนนี้ลุ้นแชมป์สมัยสามติดต่อกัน
– คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงสองเม็ดในเกมแรกที่ชนะ 3-0 ถือว่ายุติสถิติ 27 เกม หรือ 5 ปี ที่ยูเว่ไม่แพ้ใครในบ้านเกมยุโรปด้วย
– ยูเวนตุสชนะในหนสุดท้ายที่ต้องเตะแบบสองนัดเมื่อเจอกับมาดริด ในรอบรองปี 2014/15
– 20 หนที่เจอกันก่อนหน้านี้ในยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งตอนนี้ราชันนะไป 10, ยูเว่ ชนะ 8, เสมอ 2, มาดริดยิงได้ 25, ยูเว่ยิงได้ 22
– โรนัลโด้ยิงได้ตลอดทั้ง 6 เกมให้กับเรอัล มาดริด เมื่อเจอกับยูเวนตุส รวมแล้ว 9 เกม ที่สำคัญตอนนี้เขายิงในแชมเปี้ยนส์ ลีก ทำสถิติ 10 นัดติดต่อกัน
– มาดริดชนะ 5 จาก 8 เกมในบ้านเมื่อเจอกับยูเว่ โดยเสมอ 1 และแพ้ 2
– สถิติของมาดริดในยูโรเปี้ยน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศเล่นรอบนี้ 35 หนแล้ว มากกว่าทีมไหน โดยชนะ 28 แพ้แค่ 6
– มาดริดถูกโฉลกชนะทั้ง 6 เกมเมื่อเจอกับสโมสรจากอิตาลี ทั้งการพบกับยูเว่ รวมถึงนาโปลีด้วย แถมพวกเขาชนะ 34 จาก 40 เกมหลังในแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่บ้านตัวเอง แพ้แค่หนเดียวคือ 3-4 ต่อชาลเก้ ในรอบ 16 ทีมนัดสอง ปี 2014/15 แต่ก็ยังเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-4
– มาดริดแพ้แค่ครั้งเดียวจาก 32 หนถ้วยยุโรปก่อนหน้านี้ที่พวกเขาชนะในเกมแรกก่อน นั่นคือพ่ายต่อ โอเดนเซ่ ตอนปี 1994/95
– สถิติการยิงจุดโทษในถ้วยยุโรปของราชันอยู่ที่ ชนะ 2, แพ้ 2
– ส่วนยูเวนตุส นี่คือรอบก่อนรองในยูโรเปี้ยน คัพ หนที่ 18 ก่อนหน้านี้ชนะ 12, แพ้ 5
– สถิติเตะแบบสองนัดของยูเว่เมื่อเจอกับทีมจากสเปนคือ ชนะ 9, แพ้ 6 หนล่าสุดก็คือชนะบาร์ซ่ารอบนี้เมื่อซีซั่นก่อนสกอร์รวม 3-0
– สถิติของยูเว่เจอกับทีมจากสเปนในถ้วยยุโรปคือ 57 เกม ชนะ 19, เสมอ 15, แพ้ 23, ยิงได้ 62, เสีย 65 ลูก
– การแพ้นัดแรก 0-3 ถือว่ายับที่สุดของยูเว่ในบ้านเกมยุโรป เท่ากับตอนที่แพ้ 0-3 ต่อผีแดงเมื่อปี 2002/03 และ 1-4 ต่อเสือใต้ ในเกมนัดที่ 6 ของปี 2009/100
– สถิติของยูเว่ในการดวลจุดโทษคือ ชนะ 3, แพ้ 3
– เซร์คิโอ รามอส เกมนี้จะติดแบนหลังจากโดนจดชื่อที่ตูริน ส่วน มาเตโอ โควาซิช ต้องระวังใบเหลืองไม่เช่นนั้นจะติดแบนถ้าเข้ารอบ ส่วนฝั่งยูเว่ไม่มี เปาโล ดีบาล่า ที่ติดแบน เช่นกันกับ โรดริโก เบนตานคูร์ แต่ได้ มิราเล็ม ปานิช กับ เมห์ดี้ เบนาเตีย พ้นโทษ ส่วน จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กับ อเล็กซ์ ซานโดร ต้องระวังเหลืองไม่เช่นนั้นจะติดแบนถ้ายูเว่พลิกเข้าตัดเชือกได้
– เรอัล มาดริด ยิงอย่างน้อย 2 เม็ด ใน 18 จาก 22 เกมหลังแชมเปี้ยนส์ ลีก
– เรอัล มาดริด ชนะ 8 จาก 10 เกมหลังแชมเปี้ยนส์ ลีก
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 6 เกมหลังของมาดริดในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– ราชันมีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 6 จาก 7 เกมหลังที่เจอกับยูเว่นับทุกรายการ
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 3 เกมหลังสุดที่ยูเว่เตะในแชมเปี้ยนส์ ลีก
ที่มา : Siamsport
สนาม : อัลลิอันซ์ อารีน่า
จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เทรนเนอร์บาเยิร์น มิวนิค พาทีมบุกไปเชือดเซบีย่า 2-1 ในนัดแรก ก่อนถล่มเอาก์สบวร์ก 4-1 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 3 นัดติด พร้อมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาซีซั่นนี้เป็นที่เรียบร้อย 6 สมัยติดต่อกัน เหลือแค่รอรับถาดเท่านั้น
สภาพทีมเกมนี้ ไฮย์เกสต้องลุ้นอาการบาดเจ็บของอาร์ตูโร่ วิดัล (เข่า) และ ดาวิด อลาบา (หลัง) แต่ก็โอกาสชวดมีสูง ขณะที่ คิงส์เล่ย์ โกมัน (ข้อเท้า) และ มานูเอล นอยเออร์ (เข่า) ที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้วยังชวดเหมือนเดิม
พวกแกนหลักที่ถูกพักไว้อย่าง มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฆาบี มาร์ติเนซ, ติอาโก้ อัลกานตาร่า, โธมัส มุลเลอร์, ฟร้องค์ ริเบรี่ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ต่างพร้อมรีเทิร์น
ทว่าทั้งเลวานดอฟสกี้, โจชัว คิมมิช, โกร็องแต็ง โตลิสโซ่, เจอโรม บัวเต็ง และ เซบาสเตียน รูดี้ ที่ติดคาดโทษอยู่ ก็ต้องระวังหากโดนจดชื่อเพิ่ม เพราะถ้าเข้ารอบก็จะอดเล่นรอบตัดเชือก นัดแรกทันทีนั่นเอง
ขณะที่ วินเชนโซ่ มอนเตลล่า เทรนเนอร์เซบีย่า พาทีมแพ้บาเยิร์น มิวนิคไปก่อน 1-2 ในนัดแรก ก่อนแพ้เซลต้า บีโก้เละ 0-4 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการแพ้ 2 นัดติด
สภาพทีมเกมนี้ มอนเตลล่าจะได้เอเวร์ บาเนก้า มิดฟิลด์ตัวสำคัญพ้นโทษแบนกลับมา แต่ต้องรอเช็กความฟิตของซิมง เคียร์, กาเบรียล เมร์กาโด้ และ เซบาสเตียง กอร์เชีย
ในรายของเมร์กาโด้, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่ และ วิสซาม เบน เยแดร์ ก็ต้องระวังตัว เพราะถ้าโดนจดชื่อเพิ่มก็จะหมดสิทธิ์เล่นรอบตัดเชือก นัดแรกทันที หากพลิกสถานการณ์เข้ารอบได้ฃ
ส่วนแนวรุกคาดว่าจะใช้ ปาโบล ซาราเบีย, ฟรังโก้ วาซเกซ, ฮัวกิน กอร์เรอา และ หลุยส์ มูเรียล เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันหวังพลิกกลับมาคว้าชัยให้ได้
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนามตัวจริง
บาเยิร์น มิวนิค (4-2-3-1) : สเวน อูลไรช์ – โจชัว คิมมิช, เจอโรม บัวเต็ง, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, ฆวน เบร์นาต – ฆาบี มาร์ติเนซ, ติอาโก้ อัลกานตาร่า – ฮาเมส โรดริเกซ, โธมัส มุลเลอร์, ฟร้องค์ ริเบรี่ – โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
เทรนเนอร์ : จุ๊ปป์ ไฮย์เกส
เซบีย่า (4-2-3-1) : เซร์คิโอ ริโก้ – เฆซุส นาบาส, ซิมง เคียร์, กเลมงต์ ล็องก์เล่ต์, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่ – สตีเว่น เอ็นซอนซี่, เอเวร์ บาเนก้า – ปาโบล ซาราเบีย, ฟรังโก้ วาซเกซ, ฮัวกิน กอร์เรอา – หลุยส์ มูเรียล
เทรนเนอร์ : วินเชนโซ่ มอนเตลล่า
ผู้ตัดสิน : วิลลี่ คอลลัม (สกอตแลนด์)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ
– นี่เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน ที่บาเยิร์นมาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยปีก่อนพ่ายต่อ เรอัล มาดริด รวม 2 นัด 3-6 หยุดที่ตรงนี้ และเป็นครั้งที่ 29 ของสโมสร มีเพียงเรอัล มาดริด ที่มาถึงรอบนี้ได้มากกว่า คือ 35 หน ส่วนเซบีย่ามาถึงรอบก่อนรองฯ เป็นครั้งแรก นับแต่ที่เคยทำได้ครั้งเดียว เมื่อ 60 ปีก่อน
– นี่เป็นครั้งแรกที่บาเยิร์น เจอกับเซบีย่า แม้ว่า 4 ซีซั่นหลังพวกเขาจะตกรอบด้วยน้ำมือสโมสรจากสเปน (เรอัล มาดริด, บาร์ซ่า, แอตเลติโก มาดริด และเรอัล มาดริด ปีก่อน โดยสามหนแรกเป็นรอบรองชนะเลิศ) แต่ทีมจากมิวนิคแข็งแกร่งที่บ้านเมื่อเจอกับทีมลา ลีกา
– สถิติของบาเยิร์นในรอบก่อนรองชนะเลิศรายการนี้คือ ชนะ 18 แพ้ 10
– บาเยิร์นเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีก (นับเฉพาะ) ถึง 17 ครั้ง มากกว่าทีมไหน ส่วนบาร์ซ่ากับราชันอยู่ที่ 16 หน
– เสือใต้มีสถิติรวมเจอกับทีมจากลา ลีกา ที่มิวนิค คือ ชนะ 18, เสมอ 5, แพ้ 3
– เสือใต้แพ้แค่ครั้งเดียวจาก 24 เกมยูฟ่า ที่พวกเขาชนะในเกมเยือนก่อน นั่นคือพ่ายต่ออินเตอร์ มิลาน ปี 2010/11
– เสือใต้สถิติเล่น 2 นัดแบบเหย้า-เยือนเจอกับทีมจากสเปนคือชนะ 9, แพ้ 10 โดยหนล่าสุดคือแพ้ต่อเรอัล มาดริด ซีซั่นก่อน ในรัง 1-2 และ 4-2 หลังจากต่อเวลาพิเศษที่สเปน
– เสือใต้ชนะ 16 เกมรวดในบ้านยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงระหว่างวันที่ 17 กันยายน 2014 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2017 เป็นสถิติการแข่งขัน แต่ก็มาแพ้ต่อเรอัล มาดริด ในรอบก่อนรองฯ นี่แหละ
– สถิติการยิงจุดโทษของเสือใต้ในถ้วยยุโปรป คือชนะ 5, แพ้ 1
– เซบีย่าครั้งเดียวที่เคยมาถึงรอบก่อนรองก่อนหน้านี้คือปี 1957/58 ตอนนั้นแพ้ต่อ เรอัล มาดริด สกอร์รวม 2-10 (เยือน 0-8, 2-2 เหย้า) ซึ่งสกอร์ 08 ถือว่ายับที่สุดของเซบีย่าในถ้วยยุโรป และเป็นสกอร์ที่ห่างที่สุดในยูโรเปี้ยน คัพ รอบ 8 ทีม
– ครั้งสุดท้ายที่เซบีย่ามาเยือนเยอรมันคือแพ้ต่อ กลัดบัค 2-4 ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เดือนพฤศจิกายน 2015
– สถิติเตะน็อกเอาต์แบบสองนัดของเซบีย่าเจอกับทีมจากเยอรมัน คือชนะ 3, แพ้ 2 แต่พวกเขามาเยือนเยอรมัน ชนะ 5 จาก 9 หน โดยเป็นการแพ้ 3 และเสมอ 1
– เซบีย่าแพ้แค่สองเกมจาก 12 เกมเยือนหลังในถ้วยยุโรป (ชนะ 4, เสมอ 6) โดยแพ้ที่สปาร์ตัก และเลสเตอร์
– สถิติการดวลจุดโทษของเซบีย่า ในถ้วยยุโรป คือชนะ 5, แพ้ 1
– จุ๊ปป์ ไฮย์เกส กุนซือเสือใต้เคยทำทีมในสเปนกับบิลเบา, เตเนรีเฟ่ และเรอัล มาดริด สถิติของเขาในการเจอกับเซบีย่า คือ ชนะ 5, เสมอ 3 แพ้ 4
– ฟร้องค์ ริเบรี่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, โยชัว คิมมิช, โกร็องแต็ง โตลิสโซ่, เยโรม บัวเต็ง และ เซบาสเตียน รูดี้ เป็น 6 นักเตะเสือใต้ที่ต้องระวังห้ามโดนเหลือง ไม่เช่นนั้นถ้าเข้ารอบจะติดแบนหนึ่งนัด
– ส่วนเซบีย่าได้ตัว เอแวร์ บาเนก้า พ้นโทษแบนกลับมา แต่ กีโด้ ปิซาร์โร่, เซร์คิโอ เอสกูเดโร่, วิสซาม เบน เยแดร์, โจอากิน กอร์เรอา รวมถึง กาเบรียล แมร์คาโด้ ต้องระวังห้ามโดนเหลือง ไม่เช่นนั้นเข้ารอบก็จะติดแบนหนึ่งเกมเช่นกัน
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 13 เกมหลังสุดของบาเยิร์น ในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– เสือใต้ชนะ 7 เกมหลังสุดในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– มีสกอร์รวมสูงกว่า 2.5 ลูกใน 9 จาก 11 เกมหลังสุดของเซบีย่า ในแชมเปี้ยนส์ ลีก
– เสือใต้ยิงอย่างน้อย 2 เม็ด ใน 7 เกมหลังแชมเปี้ยนส์ ลีก
ที่มา : Siamsport
5. เจ้าหนูเทรนท์ตอกย้ำความเก่งกาจ
หากจะเลือกแนวรับที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดของคู่นี้ทั้งสองเกม ชื่อของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะต้องติดอยู่ด้วยแน่นอน
เจ้าหนูวัย 19 ปี ตามเล่นงานลีรอย ซาเน่ ทั้งสองเกมจนดาวเตะอินทรีเหล็กทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน โดยทั้งสองเกม อาร์โนลด์ เป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลที่ตัดบอลได้มากที่สุดที่ 13 ครั้ง และเข้าปะทะสำเร็จถึง 7 ครั้งด้วยกัน
4. สเตอร์ลิ่งไม่เคยชนะลิเวอร์พูล
นับตั้งแต่ดึงราฮีม สเตอร์ลิ่ง มาจากลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015 ยามใดที่แมนฯซิตี้ มีเขาอยู่ในสนามยามเจอหงส์แดง เรือใบสีฟ้า ไม่เคยเอาชนะลิเวอร์พูลได้เลยสักครั้ง ซึ่งในเกมลีกที่ชนะ 5-0 เกมนั้นก็ไม่มีเจ้าตัวอยู่ในสนาม
อีกหนึ่งที่ตอกย้ำสเตอร์ลิง คือ แม้เกมนี้เขาจะเป็นผู้แอสซิสต์ให้กับกาเบรียล เชซุส แต่นอกนั้นเขาสามารถยกระดับทีมได้เลย โดยมีเปอร์เซ็นต์ผ่านบอลสำเร็จเพียง 63 % และลูกครอสก็ไม่เข้าเป้าแม้แต่ครั้งเดียว
บางทีในเกมหน้าที่เจอกัน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คงต้องเก็บสเตอร์ลิ่งไว้ที่บ้านเสียแล้ว
3. ลิเวอร์พูลบันทึกสถิติใหม่
จากชัยชนะในเกมนี้ทำให้เร้ด แมชชีน ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับทีมจากอังกฤษ นั่นคือการยิงในรายการนี้ ถึง 33 ลูก ทำลายสถิติเดิมของแมนฯยูไนเต็ด ที่เคยทำได้ 32 ประตู
ซึ่ง สามประสานแดนหน้าทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ทำรวมกันไปแล้ว 22 ลูกในรายการนี้ และรวมกันทุกรายการถึง 80 ประตูเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ทั้งฟีร์มีโน่ และซาลาห์ เป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลที่ยิงในรายการนี้มากที่สุด ที่จำนวน 8 ประตู
2. ฝันร้ายของเป๊ป
ตลอด 7 วันที่ผ่านมาคือช่วงเวลาอันโหดร้ายในชีวิตการเป็นกุนซือของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างแท้จริง การแพ้ลิเวอร์พูลในเกมนี้ทำให้หงส์แดงเป็นทีมแรกที่เอาชนะเป๊ป ได้ถึง 3 ครั้งในหนึ่งฤดูกาล
นอกจากนี้ การไปบ่นใส่ผู้ตัดสินในระหว่างเดินเข้าอุโมงค์ ยังทำให้เขาโดนไล่ขึ้นไปนั่งบนสแตนด์จนไม่สามารถแก้เกมข้างสนามได้
1. ซาลาห์ กับ 50 ประตู
หนึ่งประตูในเกมนี้ ทำให้ผลสกอร์รวมในฤดูกาลนี้ขยับไปที่ 39 ลูก และหากนับที่เจ้าตัวแอสซิสต์ให้เพื่อน 11 ลูก นั่นหมายความว่า ซาลาห์มีส่วนร่วมกับประตูของหงส์แดงไปแล้วถึง 50 ประตู
นอกจากนี้เขายังทาบชั้นกับ ซามูเอล เอโต้ ที่เป็นนักเตะแอฟริกันที่ยิงมากที่สุดในถ้วยนี้ต่อหนึ่งฤดูกาล 8 ประตู
ที่มา : siamsport
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นเกมได้ไม่ดีนักหลังเป็นฝ่ายตามหลังซิตี้ ไปก่อนตั้งแต่ช่วงสองนาทีแรก จากกาเบรียล เชซุส ซึ่งหลังจากนั้นรูปเกมของเจ้าถิ่นปูพรมบุกใส่หงส์แดงอย่างต่อเนื่องและมีโอกาสได้ประตูทิ้งห่าง 2-0 จากลูกยิงของลีรอย ซาเน่ แต่ไลน์แมน กลับยกธงเป็นลูกล้ำหน้าท่ามกลางความสงสัยของแฟนๆเรือใบสีฟ้า ทำให้จบครึ่งแรกแมนฯซิตี้ ยังนำ ลิเวอร์พูล 1-0
อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้แก้เกมทำให้ทรงเกมของลิเวอร์พูลดีขึ้น ก่อนที่จะได้ประตูตีเสมอจากโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในนาที 56 และมาได้ประชัย 2-1 จากลูกยิงอันคมกริบของโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ทำให้รวมผลสองนัดลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ด้วยประตูรวม 5-1
ทั้งนี้ อดีตเทรนเนอร์ดอร์ทมุนด์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ บีที สปอร์ต ถึงเรื่องว่าได้พูดอะไรกับลูกทีมในระหว่างพักครึ่งแรกในห้องแต่งตัว โดยคล็อปป์ได้กล่าวว่า “ตนไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเสียประตูแรกอย่างรวดเร็ว แม้มันเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นแต่เมื่อมันเกิดไปแล้วก็ต้องรับมือมันให้ได้”
“แต่ในช่วงแรกที่เสียประตู ดูเหมือนพวกเราจะยังไม่ค่อยโอเคกับมันเท่าไหร่” ซึ่งดูเหมือนว่าคล็อปก็ไม่ค่อยพอใจนักที่ลูกทีมกำลังตกอยู่ภายใต้เกมของซิตี้ “พวกเขาต้องการบอลจากเรา จนถึงขั้นจะต้องฆ่ากัน แต่เราก็เสียบอลให้เขามากเกินไป”
“เราจำเป็นต้องเล่นให้รัดกุมมากกว่านี้ และต้องสั่งเช็คล้ำหน้าให้ได้ดีขึ้น จากนั้นเราต้องเล่นฟุตบอลตามแบบฉบับของเรา ไม่ใช่ว่าจะต้องมองหาแต่ ซาลาห์ หรือ มาเน่ และเมื่อเริ่มต้นในครึ่งหลัง เด็กๆก็เล่นได้ตามแผน ซึ่งพวกเรารู้ว่าหากทำได้หนึ่งประตู บรรยากาศในสนามมันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” นายใหญ่แห่งแอนฟิลด์กล่าวปิดท้าย
ที่มา : siamsport